การเมืองเรื่องน้ำท่วม ชัยชนะกลางน้ำเน่า

ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือพิมพ์เสียงสาคร ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ณ เวลาที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ จังหวัดสมุทรสาครของเราถูกน้ำท่วมไปแล้วประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด โดยเฉพาะเทศบาลนครอ้อมน้อยซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ พบว่ามีน้ำท่วมในย่านชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งถนนเพชรเกษม ถนนเศรษฐกิจ 1 ถนนพุทธมณฑล สาย 5 รวมทั้งถนนพุทธสาคร ซึ่งความเสียหายนอกจากจะส่งผลกระทบต่อโรงงานที่ต้องหยุดทำการผลิตแล้ว ยังบั่นทอนต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอีกด้วย

ความพยายามของทางจังหวัดในช่วงที่ผ่านมา จะเน้นหนักไปที่การระบายน้ำที่ท่วมขังลงสู่แม่น้ำท่าจีนผ่านคลองภาษีเจริญ ซึ่งรับน้ำจากทางด้านคลองทวีวัฒนา และน้ำทุ่งจากทางด้าน อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งรับช่วงต่อมาจาก อ.บางใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ไม่นับรวมน้ำในแม่น้ำท่าจีนที่ล้นตลิ่งเข้าท่วม อ.บางเลน อ.นครชัยศรี และ อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งศักยภาพของแม่น้ำท่าจีนโดยปกติระบายน้ำลงสู่ทะเลได้เพียง 40 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่อำเภอเมืองสมุทรสาครยังไม่เจอมวลน้ำเหนือเข้ามาปะทะ นอกจากตำบลชายขอบติดกับกรุงเทพมหานคร เฉกเช่น ต.บางน้ำจืดและ ต.คอกกระบือ ซึ่งรับน้ำจากคลองภาษีเจริญโดยตรงผ่านคลองบางน้ำจืด ความพยายามในการเตรียมความพร้อมของทุกภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางสำนักงานป้องกันสาธารณภัยจังหวัด สำนักชลประทานที่ 11 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ

ขณะเดียวกัน ยังมีภาคประชาชนที่ไม่นิ่งดูดายต่ออุทกภัยที่กำลังจะคืบคลานเข้ามา ต่างเฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่ อาทิ เครือข่ายฝ่าวิกฤตน้ำท่วมสมุทรสาคร ที่ประเมินสถานการณ์แก่เครือข่ายต่างๆ ทุกวัน ศูนย์ประสานงานองค์กรชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ที่ประสานงานความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน และพื้นที่เฝ้าระวังรวม 22 ตำบล และภาคเอกชนอย่างผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรายหนึ่งทำโครงการคลองประดิษฐ์ ที่ประตูระบายน้ำคลองบางน้ำจืด ฯลฯ

ในยามที่ทุกภาคส่วนต่างระดมความช่วยเหลือเพื่อให้แผ่นดินที่ยังไม่ถูกน้ำท่วมได้อยู่รอดปลอดภัย สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือ ความพยายามในการนำการเมืองมาปนกับน้ำท่วม โดยเฉพาะฝ่ายข้าราชการระดับสูงและนักการเมืองบางคนที่เห็นว่า หากปล่อยให้เกิดน้ำท่วมแล้วจะสามารถทำผลงานแก่ชาวบ้านได้ อย่างน้อยคือการแจกถุงยังชีพ ให้ชาวบ้านมีความรู้สึกว่าผู้แทนคนนี้มีบุญคุณในยามที่เดือดร้อน ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้ผลเสมอไปเพราะชาวบ้านตั้งคำถามถึงเหตุที่ไม่มีการแจ้งเตือนหรือเฝ้าระวัง จนเกิดความเสียหายเดือดร้อน มากกว่าที่จะประทับใจไปกับชื่อบนถุงยังชีพ

ที่ผมอนาถใจมากที่สุดคือ เวทีเสวนาซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมในจังหวัด นอกจากข้อมูลแต่ละฝ่ายและการให้ความมั่นใจที่ไม่ตรงกัน ทำให้ชาวบ้านเกิดความสับสนและไม่รู้จะเชื่อฟังใครแล้ว ในบางครั้งยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงให้เห็นถึงบารมีของข้าราชการหรือนักการเมืองแต่ละฝ่าย นักการเมืองบางคนเมื่อรู้ว่าเวลาออกโทรทัศน์น้อยเกินไปก็แสดงความไม่พอใจ ใช้คำพูดเชิงตำหนิผู้อื่นก็มี

กรณีที่ภาคประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาทำปฏิบัติการเป็นของตัวเอง เมื่อเรื่องไปถึงสาธารณชน ฝ่ายราชการที่ไม่อยากให้ภาคเอกชนล้ำหน้า และต้องการให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนไปตามกรอบความคิดที่ได้วางไว้ ในวันต่อมาก็ชิงเปิดแถลงข่าวในทำนองประกาศชัยชนะล่วงหน้า ทั้งๆ ที่มวลน้ำทางตอนเหนือของจังหวัดยังมหาศาลและระบายออกไม่หมด รวมทั้งหาแนวร่วมนักการเมืองสมทบ เพื่อสนับสนุนความคิดฝ่ายของตน โดยเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว

สิ่งเหล่านี้กำลังบั่นทอนจิตใจให้ความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วมกลายเป็นภาวะที่ประชาชนต้องอยู่ภายใต้ความเสี่ยง หากสิ่งที่ประกาศชัยชนะหรือสร้างความมั่นใจผิดความคาดหมาย เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นจริงถือว่าอันตรายมาก!

(อ่านคอลัมน์วงเวียนน้ำพุย้อนหลัง และร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่เว็บไซต์ www.sakhononline.com คลิกที่ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เลือก วงเวียนน้ำพุ)



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง