“ดี-แลนด์” มุ่งโซนภาคตะวันออก เล็งขยายธุรกิจ “มอลล์-อพาร์ทเมนท์”

กก.ผจก. ดี-แลนด์ กรุ๊ป เผยแผนการลงทุนปี 60 มุ่งเน้นโซน “ชลบุรี-ระยอง” รับระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก พร้อมศึกษาธุรกิจ “มอลล์-อพาร์ทเมนท์” คาดไตรมาส 3 เห็นภาพ ตั้งเป้ารายได้ 1 พันล้าน เผยปีที่แล้วกระทบหลายเรื่อง โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก-แบงก์ปฏิเสธสินเชื่อกระทบอสังหาฯ ระบุสมุทรสาครเจอพิษส่งออก-แรงงาน แต่ระยะกลางศักยภาพดีอยู่

นายศิริพงษ์ สมบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวกับ “สาครออนไลน์” ถึงแผนการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ว่า ได้ไปลงทุนในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี มาได้ 2 ปี เนื่องจากว่าเป็นรายใหม่ และมีผู้ประกอบการในท้องถิ่นจำนวนมาก แต่ก็ได้นำเสนอความแตกต่างในตัวสินค้า เป็นอาคารพาณิชย์กึ่งอพาร์ทเม้นท์ เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน ผู้ซื้อจะได้ผลตอบแทนประมาณ 8% ลูกค้านักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้ความสนใจซื้อ รวมทั้งคนที่มีรายได้ประจำ ต้องการรายได้หลังเกษียณอายุงาน โครงการแรกกว่า 100 ยูนิต ใช้เวลา 1 ปีเศษขายได้ทั้งหมด

ส่วนเมื่อกลางปี 2559 ได้ไปเปิดโครงการดี-ทาวน์ ที่สวนเสือศรีราชา บนพื้นที่ 24 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท ด้านหลังจะเป็นคอนโดมิเนียม สัปดาห์แรกหลังเปิดตัวขายได้เกินครึ่งหนึ่งของยูนิตทั้งหมด ซึ่งตัวโครงการค่อนข้างตอบโจทย์ นอกจากนี้ยังมีพอร์โต้ มาร์เก็ต เป็นตลาดอาหารอยู่ในโครงการ เบ็ดเสร็จมีผู้คนในโครงการไม่ต่ำกว่า 1,500 คน สามารถสร้างเป็นชุมชน มีร้านค้า และส่วนที่เป็นบาร์ซา ด้านหน้าเป็นเซเว่นอีเลฟเว่นซึ่งจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ผ่านไป 1 ปี ผลตอบรับค่อนข้างพอใจ

สำหรับโครงการโซนพระราม 2 – สมุทรสาคร นั้น ยังมีโครงการที่เปิดอยู่แล้ว ได้แก่ เดอะพราว พระราม 2 – พันท้ายนรสิงห์ บ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้นที่ 4-5 ล้านบาท และจะขยับจากโซนพระราม 2 สมุทรสาคร ไปยังโซนอื่นๆ ที่มีศักยภาพดี เช่น นนทบุรี บางบัวทอง ซึ่งมีผู้ประกอบการจำนวนมาก จุดขายที่สำคัญคือ เรื่องคอนเซปต์ ดีไซน์แบบบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ที่สมบูรณ์กว่า แต่จะต้องสำรวจคู่แข่งว่ามีจุดแข็ง จุดอ่อนด้านไหน เราก็ต้องปรับ อย่างไรก็ตาม โซนพระราม 2 ก็ยังไม่ทิ้งตรงนี้ โครงการยังคงมีอยู่

“เราเป็นบริษัทขนาดกลาง มีทีมงานค่อนข้างพร้อมทุกอย่าง การคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ก็มีทีมในการวิจัยตลาด คู่แข่งในโซนนั้นเป็นอย่างไร ผลิตภัณฑ์อะไรที่ขายดี ไม่ดี เรามีจุดอ่อน จุดแข็งอะไร ก็อาจจะไปเติมตรงนั้น การแข่งขันของเราคือการที่เราสามารถปรับตัวได้เร็ว มีดีไซน์ที่ดี มีการเซอร์วิสที่ดี มีการทำกิจกรรมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มีระบบซีอาร์เอ็ม ที่สำคัญคือทุกที่ ๆ เราไป เราจะแฝงไปด้วยการช่วยเหลือสังคมในย่านนั้นๆ เป็นหลัก คือการผูกมิตรที่เราเข้าไปให้ชุมชนเข้าใจว่า เราไปสร้างความเจริญให้เขา ไปให้ในสิ่งที่เขาต้องการ” นายศิริพงษ์ กล่าว

ส่วนแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น นายศิริพงษ์ กล่าวว่า ยังอยู่ในแผน คิดว่าเรามองไว้แล้วว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 1-2 ปี ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจัยหลักๆ คือ ความพร้อมของเรา ทั้งผลประกอบการ การเซตระบบภายใน ซึ่งค่อนข้างเข้มแข็งมาระยะหนึ่งแล้ว ความพร้อมในขณะนี้ 70-80% ผลประกอบการที่ผ่านมาในปี 2559 ประมาณ 900 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 2558 ซึ่งยอดรับรู้รายได้ในปี 2558 ประมาณ 1,200 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 20% สาเหตุหลักคือภาวะเศรษฐกิจโลก การส่งออก และจีดีพี

“สิ่งหนึ่งที่ไดรับผลกระทบทั้งวงการอสังหาริมทรัพย์ คือ ภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และปัจจัยสำคัญคือ ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ เพราะมีการปฏิเสธสินเชื่อโดยรวมทั้งวงการสูงถึง 40-50% เพราะฉะนั้นจึงเกิดการขายซ้ำ และอาจจะมีสต๊อกที่ยังเหลือ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องในปี 2560 เช่นเดียวกัน” นายศิริพงษ์ กล่าว

นายศิริพงษ์ กล่าวว่า เป้าหมายในปี 2560 มองในมุมบวกคิดว่ายังดีกว่าปีที่แล้ว แต่คงไม่มาก สิ่งที่มองในมุมบวกเพราะภาครัฐพยายามกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง การลงทุนเรื่องถนน มอเตอร์เวย์ ซึ่งเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infastructure) รัฐลงทุนแล้วถ้าเห็นผลเร็วภายในไตรมาส 2 จะทำให้เอกชนมั่นใจ ประชาชนเริ่มมั่นใจมากขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่น แต่สุดท้าย อยู่ที่อารมณ์ของผู้บริโภคว่า จะจับจ่ายใช้สอยในสินค้าชิ้นใหญ่ เช่น บ้าน รถยนต์ ซึ่งไม่ได้ซื้อบ่อย ในชีวิตหนึ่งอาจจะซื้อแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น การตัดสินใจก็จะเยอะ

ถ้ารัฐมีสัญญาณการลงทุนภาครัฐที่เห็นชัดเจน เริ่มตอกเสาเข็ม เริ่มก่อสร้าง เริ่มประมูล เอกชนก็จะเริ่มมั่นใจที่ลงทุนตาม ความมั่นใจทุกอย่างเกิดขึ้น ภาวะเศรษฐกิจก็จะไปได้ อารมณ์ (Mood) ของคนตอนนี้สำคัญ ทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อ จริงๆ ยังมีเรื่องของความโศกเศร้าเมื่อปลายปี 2559 ส่งผลต่อเนื่องมาด้วย ทำให้อารมณ์ต่างๆ ก็ลดลงไปด้วย เป้าหมายในปี 2560 ตั้งเป้าไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมองว่าน่าจะดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย

นายศิริพงษ์ ยังกล่าวว่า จะเริ่มขยับขยายธุรกิจนอกจากหมู่บ้านแล้ว จะแบ่งพอร์ตการลงทุนในเรื่องของรายได้ประจำระยะยาว (Recurring income) มากขึ้น เช่น ศูนย์การค้า (Mall) ก็เป็นรายได้ประจำรายเดือนเข้ามา เราก็พยายามขยับขยายในส่วนของรายได้ประจำเข้ามาด้วย ขณะนี้กำลังเริ่มศึกษาว่ามีความเป็นไปได้ขนาดไหน เช่น คอมมูนิตี้มอลล์ คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/2560 น่าจะเห็นภาพ

“อย่างธุรกิจมอลล์ถ้าจะไปก็ไปในหลายทำเล เป็นการกระจายความเสี่ยงไปด้วย อาจจะเลือกโลเคชั่นที่ใช่เล็กน้อย ถ้าโมเดลออกมาก็จะรู้ว่าเราควรจะไปตรงไหนดี แน่นอนว่าอาจจะขยับธุรกิจที่เป็นรายได้ประจำมากขึ้น อาจจะไม่ใช่มอลล์อย่างเดียว รวมทั้งธุรกิจอื่นด้วย กำลังศึกษาอยู่ แต่ว่ายังเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า อพาร์ทเมนท์ โกดัง หรืออาคารสำนักงาน ที่กำลังศึกษาคืออพาร์ทเมนท์ให้เช่า กำลังดูว่าจะจับกลุ่มเป้าหมายอย่างไร” นายศิริพงษ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายศิริพงษ์ ยังกล่าวว่า นอกจากทำเลโซนพระราม 2 สมุทรสาคร และโซนศรีราชาแล้ว ยังได้วางทำเลไว้ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาครก็อาจเป็นส่วนหนึ่ง เพราะเกิดที่นี่ อีกโซนหนึ่งที่มองไว้คือโซนภาคตะวันออก ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเป็นระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (ECC) รัฐบาลจะลงทุนค่อนข้างเยอะ ทั้งรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ – ระยอง รถไฟรางคู่ มอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยาย พัทยา – มาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบังที่ขยายเฟส 3 สนามบินอู่ตะเภาที่จะปรับเป็นสนามบินพาณิชย์ ถ้าเทียบกันแล้วสัดส่วนที่ลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกค่อนข้างเยอะ มองว่าตรงนั้นอนาคตเศรษฐกิจน่าจะดี คิดว่าจะไปสองกลุ่มนี้เป็นหลักก่อน

“เป็นเรื่องของการกระจายความเสี่ยงตัวเองออกไปสู่เมืองที่มีความเจริญมากขึ้น เดิมเราอยู่สมุทรสาคร 13 ปี เราเริ่มขยับขยายไปที่อื่นบ้าง เพราะสมุทรสาครเป็นเมืองที่ประชากรจำกัด ถ้าเราจะโต เราก็ต้องไปโตที่อื่นด้วย” นายศิริพงษ์ กล่าว และว่า แม้ทำเล จ.สมุทรสาคร จะยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องปัญหาเศรษฐกิจโลกกระทบ เพราะเป็นเมืองที่เน้นการส่งออกอาหารทะเลเป็นหลัก เศรษฐกิจโลกไม่ดี ส่งออกแย่ ทำให้ธุรกิจในจังหวัดระยะ 2 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบ และปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย ถูกแทรกแซงจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ขณะนี้กำลังแก้ปัญหานี้อยู่ ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสมุทรสาครได้รับผลกระทบหลายเรื่อง

“ในระยะกลาง ระยะยาว สมุทรสาครก็มีโอกาสเจริญเติบโต เพราะเป็นเมืองที่ติดกรุงเทพฯ ความเจริญจากกรุงเทพฯ เริ่มทยอยไหลเข้ามา และเป็นประตูสู่ภาคใต้ จะไปภาคใต้ก็ต้องผ่านถนนพระราม 2 ผ่านสมุทรสาครก่อน เพราะฉะนั้นในระยะกลางและระยะยาว สมุทรสาครก็ยังเป็นเมืองที่มีศักยภาพดีอยู่ เราติดทั้งแม่น้ำใหญ่ ติดอ่าวไทยด้วย เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นเมืองที่มีศักยภาพ โครงการใหม่ จะยังคงมีอยู่ เป็นบ้านเกิดเรา ยังไงเราก็อยู่ในบ้านเกิดของเรา” นายศิริพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

สาครออนไลน์ โดย กิตตินันท์ นาคทอง



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง