
สภากาชาดไทย ร่วมกับ กรมควบคุมโรค และเนคเทค สวทช. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยีระบุตัวตน ของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยใช้ระบบ TPCBAS สแกนม่านตา-ภาพใบหน้า เก็บข้อมูลอัตลักษณ์กลุ่มประชากรข้ามชาติ นำร่องขยายผลใน 5 จังหวัด ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศไทย
วานนี้ (15 ส.ค. 66) ที่ห้องประชุมแสงสุขเอี่ยม ชั้น 6 โรงพยาบาลนครท่าฉลอม ต.ท่าฉลอม อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีระบุตัวตน ของบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยมีนายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย พร้อมด้วย นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ปฏิบัติการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนาม
โอกาสนี้ นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย รวมถึงผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย หัวหน้าส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน ภายในงานมีการสาธิตการใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนของบุคคลที่ไม่มีเอกสาร โดยการนำเด็กนักเรียนหญิงข้ามชาติในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร มาลงทะเบียนและยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า สแกนม่านตา และรับวัคซีนวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV Vacccination)




นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้เรียนรู้และเห็นการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องภายใต้ภารกิจการป้องกันควบคุมโรคในกลุ่มประชากรข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน ปัญหาที่พบคือมีความซ้ำซ้อนของข้อมูลที่ปรากกฎในเอกสารประวัติการได้รับวัคซีน อันจะส่งผลต่อความครอบคุลมและการดูแลสุขภาพของกลุ่มประชากรดังกล่าว
สำหรับปีที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค ร่วมกับ สภากาชาดไทย และเนคเทค สวทช. จัดทำโครงการนำเทคโนโลยีการระบุตัวบุคคลด้วยใบหน้าในกลุ่มประชากรข้ามชาติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีประชากรข้ามชาติอาศัยเป็นจำนวนมาก เช่น จังหวัดสมุทรสาคร หรือกรุงเทพมหานคร เพื่อให้การระบุตัวตนของบุคคลนั้น ๆ สามารถรับบริการสุขภาพที่เหมาะสม เป็นไปตามคำแนะนำทางการแพทย์และทำให้ประวัติการรับวัคซีนมีความสมบูรณ์มากขึ้น ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่นำร่องใช้เทคโนโลยีระบุตัวบุคคลดังกล่าว
ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้ จึงเป็นการขยายผลการดำเนินงานจากเดิม โดยมุ่งพัฒนาในการใช้เทคโนโลยีการสแกนม่านตาที่มีความเที่ยงตรงมากขึ้น กรมควบคุมโรคและหน่วยงานภาคีเครือข่ายจะดำเนินการระยะแรกใน 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี ตาก ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพมหานคร เพื่อการเก็บข้อมูลประชากรข้ามชาติที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลหรือเก็บข้อมูลเชิงรุกในพื้นที่ ที่อาจมีเหตุการณ์ทางสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเชื่อมั่นว่า เทคโนโลยีนี้เพิ่มความสะดวกและเกิดความแม่นยำในกระบวนการลงทะเบียนและยืนยันตัวตน ลดความการเกิดข้อผิดพลาดในการระบุตัวตน ขณะเข้ารับบริการทางการแพทย์ในกลุ่มประชากรดังกล่าว ซึ่งผลจากการดำเนินการในระยะแรกนี้ จะมีการผลักดันต่อไปในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงงานป้องกันควบคุมโรคอื่น ๆ ต่อไป





ด้านนายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียน และมีเอกสารประจำตนประมาณ 2.7 ล้านคน แต่ยังมีบุคคลที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตนจำนวนหนึ่งที่อาศัยในประเทศไทย ได้แก่ แรงงานที่เข้ามาโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียน ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดน ตลอดจนกลุ่มคนไร้บ้านอีกด้วย เมื่อเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องหรือต้องรับวัคซีนป้องกันโรค บุคคลผู้ไม่มีเอกสารระบุตัวตนเหล่านี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้น้อย ส่งผลให้การควบคุมและป้องกันโรคทำได้ยากและอาจมีผลกระทบต่อประชาชนไทย เมื่อเกิดภัยพิบัติหรือโรคระบาดมักจะมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก บุคคลกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่มีชื่อหรือข้อมูลในฐานข้อมูล ทำให้ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง
ดังนั้นการร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมชีวมิติ ระบบการจดจำลายม่านตาและการจดจำใบหน้า (Iris and Face Recognition) โดยใช้ชื่อว่า ระบบ Thai Red Cross Biometric Authentication Systern หรือ TPCBAS มาใช้เป็นระบบการลงทะเบียนและยืนยันตัวตน เพื่อสร้างมาตรฐานการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ที่แม่นยำมีคุณภาพในระดับประเทศ เพื่อสนับสนุนระบบบริการสาธารณสุขในการเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคในบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัว ตลอดจนเพื่อยกระดับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นอีกด้วย
สภากาชาดไทย นอกจากเป็นหน่วยงานร่วมพัฒนาระบบเทคโนโลยี TRCBAS แล้ว ยังยินดีสนับสนุนเชิงนโยบาย และในระยะแรกยินดีสนับสนุนกล้องถ่ายภาพม่านตาและใบหน้า วัสดุอุปกรณ์ จำนวน 130 ชุด ให้กรมควบคุมโรคนำไปใช้ใน 5 จังหวัดนำร่องและบุคลากรอื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับบริการด้านสาธารณสุขและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี แก่ทุกคนที่อาศัยในประเทศไทยต่อไป






ขณะที่ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ในการดำเนินงานครั้งนี้ เนคเทค สวทช. พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านนวัตกรรม ชีวมิติ (Biometrics) และการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาโปรแกรมการระบุตัวตน ทั้งรูปแบบการจดจำลายม่านตา (Iris Recognition) และการจดจำใบหน้า (Face Recognition) ให้สามารถระบุตัวตนได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัวซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญจากนักวิจัยเพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์จากโครงการฯ ไปสู่แนวปฏิบัติให้แก่บุคลากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง และในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ
เช่น ในช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย หน่วยงานภาคีเครือข่าย และเนคเทค สวทช. ได้ร่วมออกหน่วยนำระบบบริการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า ลงพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยสงคราม แรงงานต่างด้าวไร้สัญชาติ หรือไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรในศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยการสู้รบพื้นที่ต่างๆ เพื่อบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดย เก็บข้อมูลกว่า 8,000 คน
จนกระทั่งในปี 66 ได้มีการขยายผลเป็นการเก็บข้อมูลม่านตาเพื่อใช้ยืนยันตัวบุคคลเพิ่มขึ้นมา ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีโดยนักวิจัยของเนคเทค สวทช. และได้นำไปทดลองใช้ในศูนย์อพยพที่จังหวัดราชบุรี โดยมีความถูกต้องสูงถึง 97% (แสดงจากอัตราการปฏิเสธผิดที่ 3%) และคาดว่าจะสามารถพัฒนาอัลกอรึทึม ให้ได้ระดับความแม่นยำที่ระดับ 99% ในไตรมาสนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีการย้ายถิ่นฐาน หรือย้ายไปทำงานในที่ใด ก็สามารถอำนวยความสะดวกในการสืบค้นประวัติได้ง่าย ช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศได้


สาครออนไลน์ โดย กิตติกร นาคทอง