กรมสุขภาพจิต เผยสถิติการฆ่าตัวตายสำเร็จในผู้สูงอายุ สูงเป็นอันดับ 2 ต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญจาก ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด โรคเรื้อรังทางกาย และโรคซึมเศร้า พร้อมแนะนำแอพพลิเคชั่น “สบายใจ” ป้องกันฆ่าตัวตายเชิงรุก ส่วนปัญหาหลักการฆ่าตัวตายในกลุ่มอาชีพตำรวจ เกิดจากโรคซึมเศร้า อีกทั้งพบเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญบ่อย ๆ เสี่ยงเกิดโรค PTSD หากไม่บำบัดอาจเพิ่มความเสี่ยงพฤติกรรมฆ่าตัวตาย
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัจจุบันประมาณการมีผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ 4,000 คนต่อปี ในจำนวนดังกล่าวพบอยู่ในวัยทำงานมากเป็นอันดับ 1 และวัยสูงอายุมากเป็นอันดับ 2 โดยสาเหตุการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุ 3 อันดับแรกคือ ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด โรคเรื้อรังทางกาย และโรคซึมเศร้าตามลำดับ สำหรับการป้องกันแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย กรมสุขภาพจิต ได้ใช้มาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายซ้ำควบคู่กับการเพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยเชื่อมโยงข้อมูลผู้พยายามฆ่าตัวตายในระบบฐานข้อมูลสาธารณสุข (HDC)
ทั้งนี้ พบว่าร้อยละ 15ของผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จเป็นการพยายามฆ่าตัวตายซ้ำ ซึ่งปัญหาการฆ่าตัวตายในผู้สูงอายุ สืบเนื่องจากปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรโลก ที่มีสัดส่วนของผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว คาดการณ์ในอีก 8 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 14.9 ล้านคน
การที่บุคคลมีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายและสมองย่อมเสื่อมถอยลง ความสามารถในการทำงานย่อมลดน้อยลงไป รวมทั้งอาจมีข้อจำกัดในการปรับตัว ส่งผลให้ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งเกิดภาวะเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการดำรงชีวิต ความพึงพอใจในชีวิตลดลง กรมสุขภาพจิตจึงได้ดำเนินการพัฒนาเครื่องมือประเมินความพึงพอใจของผู้สูงอายุไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ใน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผู้สูงอายุกลุ่มป่วย คือ ผู้สูงอายุสมองเสื่อมที่มีปัญหาพฤติกรรมและจิตใจ ผู้สูงอายุที่เป็นโรคซึมเศร้า 2. ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสุขภาพ คือ โรคเรื้อรัง ติดบ้าน ติดเตียง และ 3. ผู้สูงอายุกลุ่มดี ในชมรมผู้สูงอายุ
นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เปิดเผยว่า ในฐานะที่โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ ได้รับมอบหมายจากกรมสุขภาพจิต ให้เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบงานด้านการป้องกันปัญหาฆ่าตัวตาย ได้พัฒนาแอพลิเคชั่น “สบายใจ” เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุกให้มีความน่าสนใจ และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงง่าย อย่างไรก็ตามเพื่อให้การป้องกันการฆ่าตัวตายได้ผลดียิ่งขึ้นอยากขอให้สังคมและประชาชนร่วมช่วยกันเฝ้าระวังปัญหาโดยสังเกตผู้ป่วยที่อาจมีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย 5 กลุ่ม
ได้แก่ 1. กลุ่มผู้ป่วยโรคจิตเวช กลุ่มสูญเสีย หรือผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุรุนแรง 2. กลุ่มที่มีประวัติการฆ่าตัวตาย 3. กลุ่มพฤติกรรมก้าวร้าว 4. อารมณ์หุนหันพลันแล่น และ 5. กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หากพบว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่น เก็บตัว ท้อแท้สิ้นหวัง หมดหวังในชีวิต พูดสั่งเสีย ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน ขอให้รีบไปพูดคุยจัดการปัญหาให้เบื้องต้น หากยังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านให้เร็วที่สุด หรือโทรปรึกษาสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับปัญหาการฆ่าตัวตายในกลุ่มอาชีพตำรวจ นพ.ปทานนท์ ขวัญสนิท จิตแพทย์สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า มีหลักฐานเชิงประจักษ์หลายชิ้นที่สนับสนุนว่าตำรวจมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงมากเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง คือภาวะวิกฤติในชีวิต และปัญหาสุขภาพจิต ที่พบบ่อยได้แก่ อาการซึมเศร้า อาการโรคจิตและใช้สารเสพติด
นอกจากนี้ยังพบว่าตำรวจมีโอกาสพบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น เช่น อาชญากรรม การฆาตรกรรม การฆ่าตัวตายการข่มขืน ฯลฯ ซึ่งเสี่ยงให้เกิดโรค PTSD (Post Traumatic Stress Disorder) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจซึ่งหลายการศึกษาสนับสนุนว่า หากไม่ได้รับการบำบัดจะเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมฆ่าตัวตายในกลุ่มอาชีพตำรวจได้
สาครออนไลน์ โดย กองบรรณาธิการ