ส.อ.ท. ปาฐกถาส่องเศรษฐกิจไทย ชี้ “เอสเอ็มอี-สินค้าเกษตร” น่าเป็นห่วง

17

ชมรมผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร กิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ และการจัดปาฐกถาพิเศษ โดยประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมตัวเลขจีดีพีไม่ค่อยดี แม้กระเตื้องแต่ด้อยสุด ห่วงการเงิน เอสเอ็มอี และเกษตร หวั่นถ้าไม่แก้ปัญหาก็อึดอัด

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่ห้องฟังก์ชั่น รูม 1 และ 2 อาคารสินสาคร นิคมอุตสาหกรรมสินสาคร ถ.เจษฎาวิถี ต.โคกขาม อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ได้มีกิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ และการจัดปาฐกถาพิเศษ ของชมรมผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมสินสาครขึ้น ซึ่งเป็นการชุมนุมพบปะกันของกลุ่มผู้ประกอบการภายในนิคมฯ สินสาคร และบุคคลจากแวดวงธุรกิจในจังหวัดสมุทรสาคร ภายในอาคารด้านหน้าของห้องประชุม มีการเปิดนิทรรศการแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์ของภาคธุรกิจต่างๆ ในช่วงของการลงทะเบียนเข้างาน และการพบปะพูดคุย ถ่ายภาพร่วมกันอย่างเป็นกันเองระหว่างแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์นี้

กระทั่งเวลา 18.45 น. ได้เริ่มพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ มีนายชาธิป ตั้งกุลไพศาล ประธานชมรมผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมสินสาครกล่าวต้อนรับ และนายวินิตย์ ปิยะเมธาง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ต่อมาในเวลา 19.35 น. ได้มีการกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ส่องทิศทางเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง” จากนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้แก่ผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยเริ่มต้นการปาฐกถา นายสุพันธุ์ได้แสดงความชื่นชมต่อความเจริญของนิคมฯ สินสาคร และความสัมพันธ์ที่ดีมากภายในชมรมผู้ประกอบการนิคมฯ สินสาคร ซึ่งได้มีกิจกรรมร่วมกันต่างๆ เยอะ เป็นนิคมฯ ที่น่าอยู่และเชิดหน้าชูตาของระดับประเทศ

“วันนี้เรามีการรวมตัวกัน แล้วผมเชื่อมั่นว่าการรวมตัวกันลักษณะนี้ มันจะช่วยทำให้เสริมสร้างกัน เพราะวันนี้เราไม่สามารถจะทำธุรกิจอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เราต้องมีเครือข่าย ชมรม สมาคม สภา ไปช่วยกันจูงกันไป แล้วบริษัทใหญ่จูงบริษัทขนาดกลาง ขนาดเล็ก เป็นคลัสเตอร์ เป็นซัพพลาย เชน กัน เราต้องไม่เป็นคู่แข่งกัน วันนี้เราจะต้องรวมตัวเพื่อไปแข่งกันที่ข้างนอก” นายสุพันธุ์กล่าวในช่วงต้นของการปาฐกถา

จากนั้นได้กล่าวถึงการทำงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งการทำงานร่วมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติในหลายๆ เรื่อง เช่น ภาษีมรดกที่เพิ่งผ่านสภา ซึ่งจากเดิมจะจัดเก็บตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ก็มีการต่อรองมาเป็น 100 ล้านบาทแทน และจะมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมทยอยกันออกมา ซึ่งอยากให้ทางผู้ประกอบการไปศึกษา เรื่องกฎหมายที่ชงให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งหมด มาจากกระทรวงโดยข้าราชการประจำเป็นหลัก ซึ่งเป็นมุมมองของข้าราชการ กฎหมายที่ออกมาก็จะต้องมีการแก้ไขพอสมควรบางเรื่อง จึงมีทีมงานดูเรื่องกฎหมายโดยตรงร่วมกันระหว่าง หอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสมาคมธนาคารไทย นอกจากนี้ยังได้บอกเล่าถึงการผลักดันในส่วนของอีโค่ แฟคทอรี่ และเรื่องเจโทร ที่ได้มีการเซ็นเอ็มโอยูชักชวนให้ไทยไปลงทุนในญี่ปุ่นแล้ว

เรื่องของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยตัวเลขจีดีพีของประเทศนั้นไม่ค่อยดี แต่ปีนี้ไตรมาสหนึ่งโต 3% ถือว่าโอเค จากเมื่อปีที่แล้ว 2.3% โดยเฉลี่ยเมื่อปีที่แล้ว 0.7% แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่โต 7% ถือว่าด้อยสุด เป็นตัวถ่วงของอาเซียน เนื่องจากปีที่แล้วมีปัญหาการเมือง ทุกอย่างก็แย่ไปด้วย พอคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เข้ามา ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เศรษฐกิจโลกตกต่ำ น้ำมันลดลง เมื่อมาดูตัวเลขการส่งออกก็แทบจะไม่โต

“ปีนี้ไตรมาสแรกเราติดลบ 4.7% ซึ่งคิดว่าไม่ควรกังวลเรื่องส่งออกมาก ไปกังวลเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจในประเทศดีกว่า เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี การส่งออกที่อื่นก็ติดลบหมด ในเรื่องของการลดดอกเบี้ย ค่าเงินบาท เมื่อเปรียบเทียบค่าเงินของที่อื่นอ่อนหมด แต่เงินบาทแข็ง 1.23% เกือบจะที่สุดในโลกแล้ว ซึ่งจะต้องมีมาตรการออกมาเพื่อซัพพอร์ตตรงนี้ นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงเรื่องของสินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เช่น ข้าว ยางพารา ฯลฯ ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง ถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้ที่ยังแก้ไขไม่ได้ ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาตั้งแต่มีวิกฤติทางการเมืองต่อเนื่องจนปัจจุบัน” นายสุพันธุ์ กล่าว

ในส่วนของดัชนีความเชื่อมั่นนั้น ลดลง 3-4 เดือนติด ในเดือนเมษายนเองก็ลดลงในรอบ 7-8 เดือน แต่ก็คาดการณ์ไว้ใน 3 เดือนข้างหน้าจะยังโอเคอยู่ เพราะงบประมาณของรัฐบาลที่กำลังจะออกมา ซึ่งดำเนินการช้ามาก เพราะมีการตรวจสอบคอรัปชั่นที่ละเอียด การเบิกจ่ายในภาคราชการต้องเข้มงวด ทำให้กดดันไม่ค่อยกล้าที่จะเบิกจ่ายกันได้ง่าย เรื่องของนายกรัฐมนตรี ที่มีสไตล์การทำงานเป็นแบบทหาร สั่งไปแล้วน่าจะจบ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่คืบหน้า จึงต้องมีเครื่องมือออกมา คือ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ซึ่งก็ทำให้นายกรัฐมนตรีรู้สึกอึดอัด โดยตอนเป็น คสช. ใหม่ๆ ทำงานเร็วมาก แต่เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วทำงานได้ช้า ติดขัดในหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเรื่องเอสเอ็มอีที่ควรจะเป็นวาระแห่งชาติ และต้องการจะย้ายไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี มีการเสนอต่อนายกรัฐมนตรี แล้วก็เห็นชอบ มีคำสั่งลงมา แต่กลับมีการดำเนินงานที่ล่าช้าพอสมควร

เรื่องของสินค้าส่งออก ในส่วนของไก่แช่แข็งนั้นดีขึ้น ด้วยเรื่องคุณภาพสินค้าอาหารเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ เนื่องจากตลาดที่จีนมีปัญหาอื้อฉาวกับแมคโดนัลด์ แต่สินค้าที่เกี่ยวกับเกษตร เช่น ยางพารา ข้าว น้ำตาล ฯลฯ นั้นมียอดส่งออกที่ลดลงกว่า 12% เรื่องอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อัญมณี นั้นดีขึ้น เพราะเราออกแบบเก่ง ฝีมือดี ราคาก็ไม่แพง ส่วนแผงวงจรไฟฟ้านั้นโตตามตลาดไอที วัสดุก่อสร้างเราเป็นที่หนึ่งอยู่แล้วในภูมิภาค ส่วนใหญ่ในภาคการส่งออกทั้งหมดทุกประเทศเราติดลบหมด แต่ในส่วนของซีแอลวี (กัมพูชา ลาว เวียดนาม) เราบวกพอสมควร

ในส่วนของยานยนต์นั้นดีขึ้นมาก จะส่งออกเป็นไฮ เรคคอร์ดของประเทศ มีแนวโน้มจะดีขึ้นทั้งปี อาจเป็นเพราะราคาน้ำมันลดลง และก็ได้ตลาดใหม่ในส่วนของ ตะวันออกกลาง ยุโรป ออสเตรเลีย รถกระบะวันนี้เราเป็นที่ 1 ของโลก เพราะว่ามีศักยภาพเยอะ อีโค่ คาร์ค่อนข้างจะแข็งแรง เรื่องของเม็ดพลาสติกติดลบเพราะราคาน้ำมันลด ที่น่าเป็นห่วงคือ เกาหลีกำลังย้ายฐานการผลิตเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กโทรนิกส์ไปเวียดนาม ส่วนสิ่งทอย้ายไปตะเข็บชายแดนเนื่องจากค่าแรงถูกกว่า ในเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ก็ค่อนข้างลำบาก ต้องเปลี่ยนเบนเข็มพอสมควร ในส่วนของอุตสาหกรรมปีนี้ เรื่องการเบิกจ่ายของรัฐดีขึ้น มีงบประมาณที่ชัดเจน เพิ่งผ่านเรื่องงบประมาณปี 59 ซึ่งขาดดุลประมาณ 2-3 แสนล้าน ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและธุรกิจ ส่วนหนี้ครัวเรือนก็ยังสูงประมาณกว่า 80% สืบเนื่องจากหลายๆ อย่าง

“ถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาเรื่องการเงินเอสเอ็มอี ไม่แก้เรื่องเกษตร เราก็จะมีปัญหาอย่างนี้ อึดอัดๆ ไป เพราะส่งออกเนี่ยเป็นจีดีพีที่สูงสุด แต่เราต้องยอมรับในสภาวะเศรษฐกิจ” นายสุพันธุ์กล่าวในช่วงท้าย

ต่อมาได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้รับฟังได้อภิปรายมายังเวที ซึ่งมีประเด็นต่างๆ เช่น เรื่องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ที่ยังคงแย่ เนื่องจากเหล็กเส้นของจีนเข้ามาเยอะ มีราคาถูกและเจือโบรอน ซึ่งก็มีมาตรฐาน มอก. รองรับไว้อยู่ และให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนเหล็กภายในประเทศอีกทาง เรื่องของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ที่จะมี พ.ร.บ. เรื่องขนถ่ายสินค้าเพื่อไม่ให้เราเสียเปรียบ จะดูแลเรื่องโลจิสติกส์ มีโครงการนำรถไฟไปจ่อเขตเศรษฐกิจพิเศษ เรื่องสินค้าเกษตรจากจีน ที่ยังต้องเจรจากันอยู่ เรื่องของด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่อยากให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและด่านถาวร ตรงนี้เป็นงบประมาณจากกรมศุลกากร ซึ่งถ้าเปิดด่านเยอะก็กลัวในเรื่องของความมั่นคง

เรื่องการคมนาคม ตอนนี้รัฐบาลเล็งในเรื่องสร้างถนนและสะพานแห่งที่ 2 ที่แม่สอด เรื่องของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่ได้ผลักดันมาตั้งแต่รับตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ต้องการจะขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี จาก 18% เป็น 30% ก็มีปัญหายังไม่เรียบร้อย และเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ พร้อมจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งนายสุพันธุ์กล่าวว่าเราควรจะมีรัฐบาลต่อเนื่อง เป็นรัฐบาลที่ดี และต้องการรัฐบาลที่โปร่งใส ไม่มีเรื่องคอรัปชั่น ตั้งใจทำงาน ก็หวังว่ารัฐบาลชุดนี้ถ้าตั้งใจจริง ถ้ามีโอกาสต่อเนื่องก็สุดแท้แต่ ผมไม่ได้เป็นกังวล คิดว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้เศรษฐกิจดี ซึ่งเป็นปัจจัยหลักและมีความต่อเนื่องที่ชัดเจน

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

18

สาครออนไลน์ โดย กิตติกร นาคทอง



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง