
กรมสุขภาพจิต แนะวิธีการป้องกันความรุนแรงในการขับขี่บนท้องถนน ตั้งสติ เตรียมกาย-ใจให้พร้อม ให้อภัย แบ่งปันน้ำใจต่อผู้ร่วมเส้นทาง
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2562 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบันการเดินทางบนท้องถนนเป็นเรื่องที่เครียดสำหรับใครหลาย ๆ คน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานานอยู่บนท้องถนนที่มีการจราจรติดขัด เกิดมลภาวะ และมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยเคารพกฏจราจรและขับขี่อันตราย ความเครียดต่าง ๆ เหล่านี้ อาจก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง
ซึ่งการบันดาลโทสะบนท้องถนน หรือ Road Rage มักพบได้ตั้งแต่การแสดงภาษากาย การแสดงความรุนแรงทางวาจา การทะเลาะวิวาททางกายภาพ หรือแม้แต่การใช้อาวุธทำร้ายร่างกายกัน โดยส่วนมากมักจะเริ่มจากความรุนแรงเล็ก ๆ และขยายตัวเป็นความรุนแรงที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ การทะเลาะกับคนแปลกหน้าบนท้องถนนเล็กน้อยอาจนำไปสู่ปัญหาที่เป็นคดีความทางอาญาได้หากไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี
สำหรับการป้องกันความรุนแรงที่เหมาะสมที่ควรทำในการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน มีดังนี้
1.เผื่อเวลาก่อนออกเดินทาง เพราะเส้นทางอาจมีการจราจรติดขัดหรือมีอุบัติเหตุ การเผื่อเวลาจะทำให้เราไม่ร้อนรนในการขับขี่
2.ตั้งสติก่อนสตาร์ท ให้มีสติรู้ตัวเสมอว่าตนเองกำลังจะไปไหน มีใครรออยู่ และเตรียมสภาพกายและจิตใจให้พร้อมก่อนการขับขี่ยานพาหนะ โดยดูว่ามีความพร้อมหรือไม่
3.สร้างบรรยากาศ โดยการเปิดเพลงที่ชอบและร้องตาม หรือพูดคุยเรื่องดี ๆ กับคนที่โดยสารมาด้วย
4.อย่าคาดหวัง เพราะเราอาจต้องพบเจอผู้คนที่มีมารยาทบนท้องถนนแตกต่างกัน จึงไม่ควรคาดหวังว่า เราจะปรับพฤติกรรมของคนอื่นได้ ควรมองการขับขี่ถูกต้องและปลอดภัยของตนเองเป็นหลัก
5.เป็นคนใจดีบนท้องถนน โดยขับขี่เคารพกฏจราจร แบ่งปันน้ำใจต่อผู้ร่วมเส้นทาง ให้อภัย ไม่เก็บเอาความรุนแรงจากคนอื่นมาใส่ใจ ไม่มองถนนเป็นสนามแข่งที่ต้องมาเอาชนะกัน เน้นการเดินทางถึงเป้าหมายอย่างปลอดภัยพร้อมรอยยิ้ม
ทั้งนี้ จากการที่มีการกล่าวอ้างถึงปัญหาความรุนแรงบนท้องถนนกับอาการป่วยทางด้านสุขภาพจิตของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลาย ๆ เหตุการณ์ สังคมไทยควรทำความเข้าใจว่า แม้การมีปัญหาด้านสุขภาพจิตควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และปัญหาด้านสุขภาพจิตบางกลุ่มโรค เช่น โรคทางอารมณ์ โรควิตกกังวล ที่อาจทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย เศร้าเสียใจ หรือหงุดหงิดได้ง่ายกว่าปกติ อาจจะทำให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์ได้ยากก็ตาม
แต่พฤติกรรมหรือการกระทำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล้วนเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ทุกคนมีสิทธิเลือกวิธีตอบสนองอารมณ์ของตัวเองภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเอง ดังนั้นปัญหาสุขภาพจิตจึงไม่ควรถูกยกมาเป็นคำอธิบายในการกระทำไม่ดีต่อผู้อื่นหรือกระทำไม่ดีกับสังคม เพราะจะทำให้สังคมมองภาพลักษณ์ผู้ป่วยจิตเวชในแง่ลบ
“สังคมไทยควรเรียนรู้ที่จะยืนหยัดในการทำสิ่งที่ถูกต้อง ไปพร้อม ๆ กับการเรียนรู้ที่จะให้อภัย” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ