บาทแข็งกระทบ “ไทยยูเนี่ยน” ยอดขายลด 4.6% แช่เยือกแข็ง-อาหารสัตว์เลี้ยงฟื้น


ศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คนจากทั่วโลกทำงานร่วมกัน

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เผยไตรมาส 2/2562 รายได้ 3.22 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.6% เหตุเงินบาทแข็งค่าขึ้น เทียบกับยูโร-ปอนด์ แต่พบธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง อาหารแช่เย็น รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงยอดขายเพิ่มขึ้น เปิดตัวศูนย์นวัตกรรม รวมนักวิทยาศาสตร์-นักวิจัย 160 คนจากทั่วโลกพัฒนาผลิตภัณฑ์

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2562 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่ามีรายได้รวม 63,377.46 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,384.88 ล้านบาท โดยคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ระบุว่า ไตรมาสที่ 2/2562 มียอดขายอยู่ที่ 32,214 ล้านบาท ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2/2561)

โดยเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโรและปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษกว่า 6-7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และการมุ่งเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น โดยหากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนออก ยอดขายปรับตัวลดลง 2.2% เนื่องจากปริมาณการขายลดลง โดยยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 อยู่ที่ 61,583 ล้านบาท ลดลง 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือลดลงเพียง 0.1% หากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

ส่วนกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 5,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,741 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.7% เพิ่มขึ้น 2.61% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2561 และเป็นระดับอัตรากำไรรายไตรมาสที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2558 กำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 คิดเป็น 9,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% จากปีก่อน ส่วนกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.6% แม้ว่าจะมีการบันทึกค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุเนื่องจากการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานก็ตาม

และสืบเนื่องจากค่าชดเชยดังกล่าวและยอดขายที่ลดลง อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายในไตรมาส 2/2562 จึงอยู่ที่ระดับ 11.8% ส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2562 อยู่ที่ 2,787 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 24.6% จากปีที่แล้ว แม้ว่าค่าใช้จ่ายภาษีปรับสูงขึ้นและรายได้อื่นลดลงก็ตาม

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผลกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่ายอยู่ที่ 15.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท ต่อหุ้น ซึ่งยอดขายที่ลดลงเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าเงินสกุลยูโรอ่อนตัวลง และราคาวัตถุดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดี ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้น

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 39% ของยอดขายรวมทั้งหมด รองลงมาคือตลาดยุโรป 29% ส่วนตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 12% ตลาดอื่นๆ 19% ในส่วนของยอดขายไทยยูเนี่ยนในไตรมาส 2/2562 ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,031 ล้านบาท ลดลง 14.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 3.6% อยู่ที่ 13,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.7% อยู่ที่ 4,747 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นถึง 5.9%

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน หรือ Global Innovation Center (GIC) ณ อาคารเอส เอ็ม ทาวเวอร์ ถนนพหลโยธิน อย่างเป็นทางการ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร มีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คน

“บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในการทำกำไร ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจในสภาวะที่มีความท้าทายด้วยแล้ว เรายังมองถึงอนาคต โดยไทยยูเนี่ยนได้นำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดต่างๆ ต่อไป ซึ่งเราคาดหวังว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืน” นายธีรพงศ์ ระบุ

นายยอร์ก ไอร์เล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินกลุ่มบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ในระหว่างไตรมาส 2/2562 บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ในเครือของไทยยูเนี่ยน ได้ตกลงระงับข้อพิพาทกับผู้ฟ้องคดีส่วนใหญ่ในคดีการป้องกันการผูกขาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเงินจำนวน 1,402 ล้านบาทหลังจากหักภาษีแล้ว โดยหากไม่รวมค่าใช้จ่ายจากรายการพิเศษในกรณีดังกล่าว บริษัทได้บันทึกกำไรสุทธิเป็นเงินจำนวน 1,513 ล้านบาท ซึ่งการเปิดเผยสถานะล่าสุดของคดีดังกล่าว เนื่องจาก บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ได้เตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบทางการเงินใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *