สมุทรสาครพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 2 ราย งัดยาแรงคุมเข้มสวมแมสก์ออกจากบ้าน ฝ่าฝืนปรับสูงสุด 2 หมื่นบาท

ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เผยสถานการณ์โควิด-19 ในสมุทรสาคร พบผู้ป่วยเพิ่ม 2 ราย รักษาหาย 1 ราย เตรียมเพิ่มมาตรการให้ทุกคนสวมแมสก์ออกจากบ้าน ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2 หมื่น เตือนอย่าแชร์มั่วโพสต์ห้ามไปในสถานที่ต่าง ๆ ชี้อาจผิดกฎหมาย

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 1 เม.ย. นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ใน จ.สมุทรสาคร ว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. 2563 ถึงปัจจุบัน พบผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวรวม 14 ราย ในจำนวนนี้รักษาหายกลับบ้านแล้ว 3 ราย ส่งต่อรักษาที่อื่นตามความประสงค์ของผู้ป่วย 1 ราย และยังคงเหลือผู้ป่วยที่พักรักษาตัวอีก 10 ราย  แบ่งเป็น รพ.สมุทรสาคร 4 ราย รพ.กระทุ่มแบน 4 ราย และ รพ.บ้านแพ้ว 2 ราย นอกจากนี้ ยังมียอดผู้ที่อยู่ในระยะเฝ้าระวัง 14 วันอีก 71 ราย

ซึ่งสถานการณ์นั้น แม้การรักษาผู้ป่วยจนหายกลับบ้านได้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่จำนวนผู้ที่ต้องเฝ้าระวังก็มีมากขึ้นในทุกวัน ดังนั้นทางจังหวัดฯ โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร จึงต้องมีการออกประกาศบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ มาเพิ่มเติมเป็นระยะ จากการประเมินสถานการณ์ความรุนแรงในแต่ละวัน เพื่อให้การควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

• เผนผู้ป่วยรายที่ 13-14 สัมผัสผู้ติดเชื้อจาก กทม. รักษาตัวที่ รพ.สมุทรสาคร อาการค่อนข้างดี

ด้าน นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรสาคร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอีก 2 ราย พักรักษาตัวอยู่ใน รพ.สมุทรสาคร โดยผู้ป่วยรายที่ 13 (หญิงไทย อายุ 26 ปี) มีประวัติเป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะมีพ่อเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่รักษาตัวอยู่ใน กทม. อยู่แล้ว ส่วนผู้ป่วยรายที่ 14 (หญิงไทย อายุ 26 ปี) เป็นผู้ป่วยที่พบใน จ.นนทบุรี แต่ขอเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.กระทุ่มแบน ตามสิทธิประกันสังคม ส่วนประวัติความเสี่ยงของรายนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากมีแฟนทำงานสถานบันเทิงแล้วตรวจพบเชื้อ ซึ่งอาการของผู้ป่วยทั้ง 2 รายนั้นค่อนข้างดี ไม่มีความรุนแรงอะไรมากนัก เพียงแต่ตรวจแล้วพบเชื้อเท่านั้น ด้านอาการของผู้ป่วยรายอื่น ๆ ขณะนี้ก็ปกติคงที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ ผู้ป่วยรายที่ 10 (ชายไทย อายุ 24 ปี) ที่ติดเชื้อจากชาวมาเลเซีย แล้วเข้ารับการรักษาตัวใน รพ.สมุทรสาคร ก็เป็นรายที่ 3 แล้วที่รักษาหายดีจนสามารถกลับบ้านได้ เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา

นพ.อนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างที่ได้ย้ำเตือนเสมอมาว่า โรคนี้มีความรุนแรงไม่มาก แต่ที่ต้องเฝ้าระวังคือการติดต่อที่เป็นไปได้ง่าย และแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนป้องกันเนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันกักตัวเองอยู่กับบ้าน และปฏิบัติตามมาตรการของทางจังหวัดฯ อย่างเคร่งครัด ส่วนการประกาศของทางจังหวัดสมุทรสาครเรื่องการบังคับใช้หน้ากากอนามัยนั้น ก็จะสอดคล้องกับโรงพยาบาลทุกแห่ง ที่ให้ผู้ป่วยและญาติต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่มารับบริการเช่นกัน

• งัดยาแรง! ออกมาตรการเข้มสวมหน้ากากอนามัยออกจากบ้าน ฝ่าฝืนจับปรับเป็นหมื่น

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ด้วยจังหวัดสมุทรสาคร ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยพบทั้งผู้ป่วยรายใหม่ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ที่ต้องเฝ้าระวังเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเพื่อให้การควบคุมโรคของจังหวัดฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร จึงได้มีมติเห็นชอบให้ออกประกาศบังคับใช้เกี่ยวกับมาตรการสวมหน้ากากอนามัยแบบผ้าก่อนออกจากบ้านทุกคนทุกครั้ง รวมถึงขณะที่อยู่ในยานพาหนะต่าง ๆ ด้วย ซึ่งหากใครไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกจับปรับไม่เกิน 20,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้ทุกคนได้เฝ้าระวังตนเองและคนรอบข้าง ไม่ให้เชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกายหรือแพร่กระจายไปสู่บุคคลอื่น โดยน่าจะเป็นจังหวัดแรก ๆ ของประเทศ ที่ออกมาตรการบังคับให้ประชาชนใช้หน้ากากอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนออกจากบ้าน

นอกจากนี้ ยังจะได้ออกประกาศอื่นๆ อีก อาทิ การปิดสถานที่ให้บริการ (เพิ่มเติม) เช่น สถานีบริการน้ำมัน (ปั๊มน้ำมัน) เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 05.00 – 22.00 น. เป็นต้น ส่วนสถานที่สำคัญทางศาสนาก็ให้งดจัดกิจกรรมหรืองานประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการรวมตัวของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก แต่ถ้าเป็นงานพิธีกรรมที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นงานศพ หรืองานบวชนั้น ยังสามารถจัดได้ภายใต้มาตรการที่กำหนดและไม่ฝ่าฝืนกฎหมายที่บังคับใช้ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมถึงไม่ขัดต่อประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร

นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับประกาศที่จะออกมาเพิ่มเติมนั้น จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 – 30 เม.ย. 2563 ส่วนประกาศเดิมที่เคยกำหนดไว้ว่ามีผลถึงวันที่ 12 เม.ย. นั้น ก็จะขยายออกไปสิ้นสุดถึงวันที่ 30 เม.ย. เช่นเดียวกัน ขณะที่มาตรการอื่น ๆ เช่น ให้ผู้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างหยุดให้บริการ หรือการงดจำหน่ายสุรานั้น ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครยังไม่มีมติเห็นชอบให้ออกมาบังคับใช้ ทั้งนี้ จึงขอให้พี่น้องประชาชนชาวสมุทรสาครปฏิบัติตามประกาศที่บังคับใช้อยู่แล้วอย่างเคร่งครัด เพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ให้หมดสิ้นไป

• โต้แชร์ห้ามไปสถานที่ต่าง ๆ ว่อนโซเชียล ชี้มีไว้เพื่อสังเกตและเฝ้าระวังตัวเอง

จากเหตุการณ์ในช่วง 2- 3 วันที่ผ่านมา ซึ่งมีข้อความที่ส่งต่อกันทางไลน์อย่างแพร่สะพัดว่า “ขออย่าให้พนักงานเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในสมุทรสาคร เพราะเป็นจุดที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อโควิด -19” จนสร้างความหวาดวิตกให้กับผู้ที่ได้รับข้อความ แล้วก็นำมาสู่ความสับสนว่าสถานที่ต่างๆ นั้น ห้ามไปจริงหรือไม่

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า สถานที่ต่าง ๆ ที่หลายคนได้เห็นดังที่ปรากฎในข้อความนั้น ถ้าคนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จ.สมุทรสาครอย่างต่อเนื่อง ก็จะทราบดีว่าคือสถานที่ที่ปรากฏในไทม์ไลน์ของผู้ที่ติดเชื้อของสมุทรสาคร ที่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ที่เอามาพิมพ์ นอกจากนี้ยังเพิ่มเติมเนื้อหาเพิ่มบางสถานที่เข้าไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ปรากฏในไทม์ไลน์ด้วยซ้ำ ถือว่ามีความผิด รวมทั้งได้ส่งต่อกันไปในวงกว้าง ซึ่งความจริงแล้วสถานที่เหล่านั้นน่าจะมีความปลอดภัยมากกว่าสถานที่อื่น ๆ ทั่วไป เพราะเมื่อเป็นสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อเคยเดินทางไปหรืออาศัยอยู่ ก็จะมีการควบคุมสถานที่อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทั้งการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ มีการสังเกตกันตามระบบ

แต่ในทางกลับกันสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏในไทม์ไลน์ตอนนี้น่าจะอันตรายมากว่าด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีเชื้อโรคแพร่กระจายอยู่หรือไม่ หรือจะมีผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงอยู่ตรงนั้นหรือไม่ จะรู้และปรากฏในไทม์ไลน์ก็เมื่อยืนยันผู้ติดเชื้อแล้ว จึงเป็นที่มาของคำว่า “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพราะสถานที่ต่าง ๆ ตอนนี้ต้องคิดว่าอันตรายทั้งหมด อีกทั้งสิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ว่าเคยมีผู้ติดเชื้อไปตรงนั้นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการเฝ้าระวังตนเองไม่ให้เชื้อเข้ามาสู่ร่างกายเราได้ ด้วยวิธีการสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกมาจากบ้าน

ทางด้าน นพ.อนุกูล ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ไทม์ไลน์ที่ได้มีการเผยแพร่นั้นมีประโยชน์เพื่อให้คนทั่วไปได้สังเกตตัวเอง ว่าสถานที่นั้น ช่วงเวลานั้น ตนเองได้ไปมาหรือไม่ ซึ่งจะมีผลก็ต่อเมื่อตัวเราอยู่ตรงนั้นพร้อมกับผู้ป่วย แต่ในช่วงเวลาหลังจากนั้น สถานที่ต่าง ๆ สามารถเดินทางไปได้ในกรณีที่จำเป็นต้องไป แต่ก็ต้องไปพร้อมกับมาตรการที่ต้องป้องกันตนเอง เพราะอาจมีเชื้อใหม่จากคนใหม่เพิ่มเติมเข้ามา

อย่างเช่นที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รักษาตัวอยู่ ผู้ใช้บริการอื่น ๆ ก็ยังไปได้ แต่จะต้องป้องกันตนเองด้วย ไม่ใช่ป้องกันว่าจะรับเชื้อจากผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ เพราะผู้ป่วยกลุ่มนั้นถูกจัดแยกอย่างเป็นสัดส่วน มีระบบดูแลเฝ้าระวังทั้งผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่อย่างเข้มข้น ไม่มีการแพร่เชื้อออกมาสู่ภายนอกอย่างแน่นอน แต่การระวังในที่นี้ คือ ให้ทุกคนระวังตัวเองในทุกที่ ทุกเวลา โดยเริ่มที่การเฝ้าระวังตนเองไม่ให้เป็นผู้รับเชื้อและไม่ให้เป็นผู้แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *