ทล. ปิดจ็อบรื้อคานสะพานกลับรถ เปิดวิ่งพระราม 2 ช่องทางหลักแล้ว ตร.เร่งหาหลักฐานสอบพยาน

กรมทางหลวง รื้อคานสะพานกลับรถ ถ.พระราม 2 กม.34 ที่เหลือออกหมดแล้ว เปิดใช้ช่องทางหลัก ขาเข้ากรุงเทพฯ ทันทีหลังเคลียร์พื้นที่เสร็จ การจราจรคล่องตัว  ด้านตำรวจเร่งหาหลักฐานสอบพยาน เบื้องต้นตั้งข้อกล่าวหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

จากกรณีคานและแผ่นปูนสะพานกลับรถ ถ.พระราม 2 กม. 34 ขาเข้ากรุงเทพฯ หน้าโรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร ต.บางกระเจ้า อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ที่อยู่ระหว่างการซ่อมแซมบำรุง หล่นลงมาทับรถยนต์ 3 คัน จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และเสียชีวิต 2 ราย เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ต้องปิดการจราจร ถ.พระราม 2 ฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ ช่องทางหลัก ตั้งแต่ประมาณ กม.ที่ 36 ถึง กม.ที่ 32 ไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้การจราจรติดขัดเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรโดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ต่อมาวานนี้ (2 ส.ค.) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง ได้สั่งการให้รื้อถอนรื้อคาน 4-5 ตัวออก และเปิดการจราจรช่องทางหลัก เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของพี่น้องประชาชนผู้ใช้ทางนั้น

ล่าสุดวันนี้ (3 ส.ค.) เวลา 07.45 น. กรมทางหลวง ได้เปิดให้ใช้เส้นทาง ถ.พระราม 2 ช่องทางหลัก ขาเข้ากรุงเทพฯ ได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่เมื่อช่วงเย็นวานนี้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง พร้อมด้วย นายอภิชาติ จันทรทรัพย์ รองอธิบดีฝ่ายดำเนินงาน, นายพรพรต สุริยนต์ ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงที่ 13 และนายสมบัติ ประภพรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี)  ได้ลงพื้นที่มาดูบริเวณจุดที่เกิดเหตุ พร้อมกับติดตามการเตรียมความพร้อมในการรื้อคานสะพานกลับรถซึ่งเชื่อมอยู่ในแนวเดียวกันกับตัวที่หลุดลงมาที่เหลืออีก 4 ตัวออก ก่อนคืนผิวการจราจรให้ผู้ใช้ทางสัญจรได้เป็นปกติ เพื่ออำนวยสะดวกด้านการจราจร และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน

โดยอธิบดีกรมทางหลวง และคณะ ได้เฝ้าติดตามการรื้อคานสะพานกลับรถ ตั้งแต่ต้นจนแล้วเสร็จ โดยทางเจ้าหน้าที่หลังจากที่จัดเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือ และรถเครนเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เริ่มเดินเครื่องทำการรื้อคานสะพานลอยกลับรถ โดยเริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 21:00 น. วันที่ 2 ส.ค. 65 ซึ่งก็เริ่มจากการสกัดและตัดราวสะพาน หลังจากนั้นจะใช้รถเครนใหญ่ 2 คัน เป็นขนาด 250 ตัน 1 คัน กับ 220 ตัน อีก 1 คัน ยกคานลงมาแบบทีละคู่น้ำหนักโดยรวมราว 30 ตัน ความยาว 15 เมตร แล้วทำการขนย้ายออกจากพื้นที่ก่อสร้าง แล้วเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 03.30 น. ของวันที่ 3 ส.ค. 65

เมื่อนำคานลงมาครบทั้ง  4 ตัวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงได้เร่งทำความสะอาดและเก็บสิ่งกีดขวางออกจากบนถนน เพื่อความปลอดภัยก่อนคืนผิวการจราจรให้แก่พี่น้องประชาชนได้ใช้งานตามปกติ ส่วนบนสะพานที่ยกคานออกไปแล้ว รวมถึงกองเศษวัสดุจากการหักหล่นลงมาในวันเกิดเหตุ ก็ได้นำแสลนมาคลุมปิดทับไว้ เพื่อสร้างความรู้สึกความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนที่ขับผ่านไปมา ขณะที่บรรยากาศหลังจากการเปิดใช้ช่องทางด่วนขาเข้ากรุงเทพฯ ได้แล้วนั้น ก็พบว่า ถ.พระราม 2 รถสามารถเคลื่อนที่ได้คล่องตัว ไม่มีการจราจรที่ติดขัดอย่างที่ผ่านมา

นายสราวุธ ทรงศิวิไล  อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการกับสะพานตัวนี้นั้นจะต้องรอผลการวิเคราะห์การตรวจสอบสภาพสะพานอย่างชัดเจน จากผู้เชี่ยวชาญในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ว่าโครงสร้างทุกจุดมีความแข็งแรงทนทานมากน้อยเพียงใดเพื่อที่จะพิจารณาว่าจะต้องทำการซ่อมแซมต่อหรือว่าจะทุบทิ้งแล้วทำการก่อสร้างสะพานใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ในด้านการตรวจสอบหาสาเหตุการร่วงลงมา จะมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เนื่องจากการซ่อมครั้งนี้ดำเนินการโดยศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 3 (ปทุมธานี) กรมทางหลวง ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวที่ได้รับผลกระทบนั้น ทางกรมทางหลวงจะเยียวยาทุกกรณี โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ เจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ ซึ่งก็จะได้รับสวัสดิการและค่าชดเชยตามกฎระเบียบของทางราชการ เพราะเป็นการเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ด้านครอบครัวพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ ก็จะได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรมที่สุดเช่นกัน

ส่วนความคืบหน้าทางคดี เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวสอบถามจาก พ.ต.ท.ศุภณัฐ พุ่มน้อย รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานสมุทรสาคร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด แต่ยังไม่ได้รับรายงานการสรุปผลกลับมาว่าสาเหตุเกิดจากอะไร อีกทั้งต้องรวบรวมหลักฐานและข้อมูลจากผู้ชำนาญการในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ก็ต้องสอบเจ้าหน้าที่ของกรมทางที่มีส่วนรับผิดชอบงาน และคนงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุ โดยขณะนี้ได้มีการสอบปากคำไปทั้งหมดแล้ว 10 กว่าคน ทั้งคนงานและคนบาดเจ็บ รวมทั้งทางตำรวจก็ได้หาพยานหลักฐานอื่น เช่น กล้องวงจรปิด ด้วย

ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ตามกฎหมายก็จะต้องแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้รับผิดชอบโครงการเป็นลำดับแรกและจะมีใครร่วมด้วยหรือไม่ก็ต้องพิจารณาตามหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งเบื้องต้นได้ตั้งข้อกล่าวหาไว้ว่า “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” แต่ขณะนี้ทางตำรวจยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาใครทั้งสิ้น เพราะยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน หากรวบรวมครบเมื่อไร ก็จะเร่งดำเนินการตามกฎหมายทันที

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *