“ปวีณา” จี้ ตร. ตามล่าครูมวยหื่น ใช้ปืนขู่บังคับขยี้กามนักชกหญิง วัย 12 ในค่ายนานร่วมปี

ปธ.มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำครอบครัวผู้เสียหายเข้าพบผู้กำกับ สภ.เมืองสมุทรสาคร คดีเจ้าของค่ายมวยและครูมวย อดีตตำรวจบ้าน ใช้ปืนข่มขู่ล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงวัย 12 ปี 2 ราย นักชกของทางค่ายฯ ตั้งแต่ปลายปีก่อน เหยื่อผวาถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย เพราะกลัวถูกฆ่า-ไม่ได้ชกมวยอีก  

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 28 ก.พ. 2567 นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำแม่และยายของ 2 เด็กหญิง อายุ 12 ปี เดินทางมาที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อเข้าพบกับ พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร ร่วมประชุมและติดตามคดีที่เจ้าของค่ายมวยแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร ก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเรา 2 เด็กหญิง ซึ่งเป็นนักมวยรุ่นเยาว์ของทางค่ายฯ หลายครั้ง ซึ่งแม่และยายของ 2 เด็กหญิงได้แจ้งความไว้แล้ว แต่ขณะนี้เจ้าของค่ายมวยหลบหนีไป จึงมาร้องมูลนิธิปวีณาฯ เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและความปลอดภัย

สืบเนื่องจากวานนี้ (27 ก.พ.) แม่และยาย 2 ครอบครัว พา ด.ญ.เอ (นามสมมติ) และ ด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ 12 ปีเท่ากัน นักเรียนชั้น ป.6 แต่เรียนคนละโรงเรียน เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ขอความช่วยเหลือติดตามคดี นายใหญ่ (นามสมมติ) อายุ 54 ปี เป็นเจ้าของค่ายมวยและเป็นครูฝึกมวยแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร และเป็นอดีตตำรวจบ้าน ใช้ปืนข่มขู่บังคับข่มขืนกระชำเราลูกและหลานสาวทั้ง 2 คน ขอช่วยติดตามคดีให้เจ้าของค่ายมวยและครูฝึกมวยรายนี้มารับโทษตามกฎหมาย

ยายของ ด.ญ.เอ เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิดเพราะแม่เด็กต้องไปทำงาน หลานชื่นชอบการชกมวยมากเพราะจะได้ฝึกป้องกันตัว ซึ่งค่ายมวยของผู้ก่อเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้าน จึงให้หลานไปเรียนชกมวยตั้งแต่ ป.1 อายุ 7 ขวบ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปี ที่ค่ายมวยจะมีเด็กและเยาวชนชาย-หญิงประมาณกว่า 10 คน เป็นเด็กหญิงอายุ 12 ปี จำนวน 3 คน ได้แก่ ด.ญ.เอ หลานของตน กับ ด.ญ.บี และ ด.ญ.ซี ตอนแรกตนจ่ายค่าเรียนชกมวยให้ครูฝึกวันละ 100 บาท พอเด็กเก่งขึ้นครูฝึกก็พาไปขึ้นชกตามที่ต่าง ๆ ก็ไม่เก็บค่าสอนแล้ว เพราะเวลาได้เงินรางวัลครูฝึกก็หักค่าฝึกซ้อมในค่ายมวย ส่วนที่เหลือก็จะให้เด็กบ้างครั้งละประมาณ 400-500 บาท

จากนั้นหลานไปแข่งขันตามที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 8-9 ขวบ มีชนะบ้าง แพ้บ้าง และก็ได้เป็นแชมป์หลายรายการ ตอนหลานอายุ 11 ปี มีครั้งหนึ่งได้ไปแข่งในรายการที่ “รถถัง จิตเมืองนนท์” นักชกมวยไทยชื่อดังจัดขึ้น เป็นรุ่นของเด็กและเยาวชน หลานได้ขึ้นชกกับนักชกเด็กหญิงชาวจีน ชนะได้ถ้วยรางวัล “นักชกดุเดือด” ที่ผ่านมาหลานเป็นคนที่ขยันฝึกซ้อมมวยและตั้งใจเรียน แต่แล้วเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2567 หลานก็พูดขึ้นมาว่า “หนูอยากตายแล้วไปเกิดใหม่” ตนตกใจมากว่ามีอะไรเกิดขึ้นแต่หลานก็ไม่ยอมบอก กระทั่ง 3 วันต่อมา (31 ม.ค.) ตอนเย็นตนไปรับหลานที่ค่ายมวย ซึ่งในวันนั้นครูฝึกจ่ายเงินค่าชกมวยให้กับเด็ก ๆ แต่มี ด.ญ.ซี วิ่งมาบอกตนว่า “ยายรู้มั้ยว่ามีไอ้เฒ่าในค่ายมันตอกพวกหนู” ตนจึงถามจนเข้าใจว่า ตอก หมายถึงข่มขืนหรือการมีเพศสัมพันธ์

ยายของ ด.ญ.เอ เล่าต่อไปว่า ตนได้ถามหลานสาว บอกว่าถูกนายใหญ่ (นามสมมติ) ครูฝึกมวยข่มขืนตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. 2566 เรื่อยมาจนถึงล่าสุดช่วงเดือน ม.ค. 2567 โดยถูกกระทำที่บ้านครูฝึกมวย และที่ห้องพักนักมวยในค่ายมวยที่ฝึกเวลาที่ไม่มีใครอยู่ เด็กไม่กล้าขัดขืนเพราะก่อนจะลงมือข่มขืนนายใหญ่จะวางปืนไว้ให้เด็กเห็นจนเกิดความกลัว หลังข่มขืนเสร็จนายใหญ่ก็ข่มขู่ว่า “ถ้าไปบอกใครกูจะยิงมึงให้ตาย”

ที่ผ่านมาหลานจึงไม่กล้าบอกใครเพราะความกลัวนายใหญ่ และกลัวว่าจะไม่ได้ชกมวยอีก แต่สุดทนแล้วจึงนำเรื่องไปคุยกับ ด.ญ.บี และ ด.ญ.ซี ที่ฝึกชกมวยอยู่ในค่ายเดียวกัน จึงรู้ว่าทั้งสองคนก็ถูกนายใหญ่ข่มขืนด้วย เด็ก ๆ ไม่อยากทนทุกข์อีกต่อไป จึงตัดสินใจบอกยายและพ่อแม่ในวันที่ไปรับที่ค่ายมวย 31 ม.ค. 2567 เด็ก ๆ ยังบอกอีกว่า นายใหญ่เป็นคนดุมาก เวลาเด็กทำไม่ถูกใจก็จะทำร้ายเด็กโดยการตบ เตะ และชอบพกอาวุธปืน เอาปืนมาเช็ด ถือปืนให้เด็ก ๆ ในค่ายมวยเห็น ทุกคนจึงกลัวกันมาก

หลังจากยายและแม่รู้เรื่องลูกหลานถูกข่มขืนแล้ว จึงได้ต่อว่านายใหญ่ที่ค่ายมวย และนายใหญ่ก็ได้ขับรถหลบหนีไปทันที ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับมา ส่วนลูกสาวนายใหญ่ที่เป็นครูฝึกมวยด้วย ก็ข่มขู่ผู้ปกครองด้วยว่า “ถ้าเด็กคนไหนย้ายค่ายมวยก็จะฟ้องให้หมด” จากนั้นยาย ด.ญ.เอ กับแม่ ด.ญ.บี ตกลงพากันเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ตำรวจส่งเด็กทั้งสองไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลและสอบสหวิชาชีพแล้ว และพาเด็กทั้งสองมาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดี นอกจากนี้ยังทราบว่ามีเด็กหญิงที่เคยฝึกซ้อมมวยที่ค่ายแห่งนี้ ถูกนายใหญ่ข่มขืนอีกหลายรายแต่ไม่กล้าแจ้งความ ตนจึงต้องการจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และไม่อยากให้เด็กหญิงคนอื่น ๆ ตกเป็นเป็นเหยื่ออีก อยากให้ตำรวจจับกุมนายใหญ่มาดำเนินคดีโดยเร็ว เพราะเด็ก ๆ กลัวนายใหญ่ที่มีอาวุธปืนข่มขู่จะฆ่า และครอบครัวเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

ด้านแม่ของ ด.ญ.บี ก็เล่าว่า บ้านของตนอยู่ใกล้ค่ายมวยของนายใหญ่ และตนมีหลานชายไปฝึกมวยที่ค่ายตั้งแต่เล็ก ๆ ลูกสาวได้ตามไปดูด้วยแล้วเกิดความชื่นชอบอยากจะชกมวยบ้าง ตนจึงให้เรียนชกมวยที่ค่ายฯ ตั้งแต่เรียนอยู่ ป.3 ช่วงแรกค่าเรียนวันละ 20 บาท จากนั้นพอเด็กเก่งได้ออกไปแข่งขันก็ไม่ต้องเสียค่าเรียน แต่พอชกชนะทางค่ายก็จะหักเงินรางวัลบางส่วน ที่เหลือก็ให้เด็กบ้างครั้งละประมาณ 400-500 บาท ตนมารู้เรื่องลูกสาวถูกนายใหญ่ข่มขืนวันเดียวกับยายของ ด.ญ.เอ จึงตกลงพร้อมใจกันเข้าแจ้งความ

ด.ญ.บี เล่าให้ตนฟังว่า ถูกนายใหญ่ข่มขืนตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2566 ถูกกระทำเรื่อยมาเดือนละ 2-3 ครั้ง ที่บ้านพักของนายใหญ่ และที่ห้องพักนักมวยในค่ายมวยเวลาที่ไม่มีใครอยู่ และมีบางครั้งที่นายใหญ่พาเด็กไปทำกิจกรรมข้างนอกแล้วก็จะเรียก ด.ญ.บี ออกไปข้างนอกด้วย โดยบอกกับทุกคนว่าจะไปซื้อกับข้าวให้ ด.ญ.บี ไปช่วยถือของ ทุกคนในค่ายก็ไม่มีใครกล้าขัดขืนเพราะกลัวนายใหญ่ ล่าสุดถูกกระทำวันที่ 28 ม.ค. 2567

โดยที่ผ่านมาลูกไม่กล้าบอกแม่ เพราะเวลาที่นายใหญ่กระทำบางครั้งก็จะเอาปืนมาวางให้เห็นและข่มขู่ว่า “ถ้าไปบอกใครกูจะยิงมึงให้ตาย” และลูกยังกลัวว่าแม่และยายที่พิการจะกลุ้มใจจึงไม่กล้าบอก แต่เด็กก็ทนไม่ไหวมาคุยกับเพื่อนเด็กผู้หญิงในค่าย แล้วจึงตัดสินใจบอกเรื่องทั้งหมดกับแม่ดังกล่าว ทั้งนี้ ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายใหญ่โดยเร็วเช่นเดียวกัน ซึ่งเด็ก ๆ บอกว่าอยากให้ครูฝึกมวยคนนี้ติดคุกไปตลอดชีวิต กับสิ่งที่ทำให้มีตราบาป และไม่อยากให้ไปทำกับใครอีก

หลังจากรับเรื่อง นางปวีณา หงสกุล ก็ได้เดินทางพาแม่และยายไปประชุมกับ พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เร่งรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับนายใหญ่ (นามสมมติ) เจ้าของค่ายมวยรายนี้โดยเร็ว และให้ความปลอดภัยกับทั้ง 2 ครอบครัวนี้ เพราะถือเป็นภัยร้ายแรงกับเด็กและเยาวชน พร้อมกันนี้จะประสาน พมจ.สมุทรสาคร ร่วมกันในการเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจของเด็กผู้เสียหาย และจะประสานกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อให้เหยื่อ 2 ครอบครัวนี้ได้รับเงินเยียวยาผู้เสียหายทางคดี ทั้งนี้ ทางมูลนิธิจะติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด หากมีเด็ก ๆ ผู้เสียหายรายใดต้องการความช่วยเหลือให้ติดต่อมายังมูลนิธิปวีณาฯ สายด่วน 1134 หรือโทร. 081-8901355 ,098-4788991 ,081-8140244 ทางมูลนิธิจะให้ความเป็นธรรมและให้การช่วยเหลือเต็มที่

ภายหลังจากที่ประชุมร่วมกับผู้กำกับการ สภ.เมืองสมุทรสาคร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางปวีณา หงสกุล  ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ก็ยังได้ลงพื้นที่ไปยังค่ายฝึกมวยพร้อมกับทางผู้ปกครองของเด็ก เพื่อชี้จุดยืนยันว่าเป็นค่ายมวยที่เกิดเหตุจริง พบว่าบรรยากาศโดยรอบบ้านเงียบสนิท ที่ประตูบานเหล็กมีการล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา โดยชาวบ้านบอกว่าปิดตายแบบนี้มาหลายวันแล้ว ซึ่งนางปวีณา เผยว่า ล่าสุดตำรวจได้ออกหมายจับเจ้าของค่ายมวยแล้ว และจะติดตามตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว พร้อมกันนี้ก็ได้กำชับให้ทางตำรวจตามจับตัวมาให้ได้โดยเร็ว เพราะถือเป็นอาชญากรที่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม นอกจากนี้จะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อเยียวยาเด็กและครอบครัวผู้เสียหาย รวมถึงประสานงานกับทาง กกท.สมุทรสาคร เพื่อสั่งปิดค่ายมวยดังกล่าว และยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อเด็ก เพื่อเด็กจะได้มีโอกาสไปสังกัดกับค่ายมวยอื่นและมีโอกาสขึ้นชกเพื่ออนาคตของเด็ก เนื่องจากมีเด็กบางคนถูกให้เซ็นสัญญาถึง 10 ปี

พ.ต.อ.พิเชษฐ์พงศ์ แจ้งค้ายคม ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร เปิดเผยด้วยว่า ภายหลังจากที่รวบรวมพยานหลักฐานได้จนครบถ้วนแล้ว ก็ได้ขอให้ศาลจังหวัดสมุทรสาครออกหมายจับเจ้าของค่ายมวยรายนี้ ซึ่งศาลได้อนุมัติออกหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ลงพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าผู้ต้องหาจะไปหลบซ่อนตัว โดยเชื่อมั่นได้ว่าจะได้ตัวผู้ต้องหาในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

เบื้องต้นจากการสอบปากคำเด็กผู้เสียหาย ขณะนี้มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่ก่อเหตุดังกล่าว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะสืบสวนเพิ่มเติมต่อไป ว่ามีผู้ร่วมกระทำการดังกล่าวเพิ่มอีกหรือไม่ ส่วนการตั้งข้อกล่าวหาแก่นายใหญ่ (นามสมมติ) ได้ตั้งไว้แล้วว่า ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี-20 ปี และอาจจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษได้ เนื่องจากผู้เสียหายเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *