ปลัด มท. วอนพระสังฆาธิการ ร่วมมือภาคราชการสร้างสุข ปชช. ตามหลัก “บวร: บ้าน วัด ราชการ”

ปลัด มท. บรรยายถวายความรู้แด่พระสงฆ์ “งานราชการกับงานคณะสงฆ์” ในการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสฯ ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดสมุทรสาคร แนะขับเคลื่อนภาคราชการจับมือคณะสงฆ์ ร่วมกันทำสิ่งที่ดีแก่อาณาประชาราษฎร ภายใต้หลักการ “บวร – บ้าน วัด ราชการ” สนองพระราชปณิธานในหลวง “สืบสาน รักษา และต่อยอด”

วานนี้ (28 ส.ค.) ที่วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ต.ยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ได้จัดให้มีการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เลขานุการ และไวยาวัจกร ในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดสมุทรสาคร ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 143/2556 โดยมีพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมร่วมบรรยายพิเศษ “งานราชการกับงานคณะสงฆ์” ถวายความรู้แด่คณะสงฆ์ในที่ประชุม

มีพระเทพวชิรปาโมกข์ เจ้าคณะภาค 14-15 (ธ) เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ พระเทพสาครมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดเจษฎาราม พระอารามหลวง พระรามัญมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร (ธ) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ศรัทธากะยาราม พระมงคลพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร พระสังฆาธิการ และพระเถรานุเถระในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครร่วมประชุม รวมถึง นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ปลัดจังหวัดสมุทรสาคร นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมด้วย โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธี ถวายธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นนำทุกภาคส่วนประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง กล่าวบรรยายสรุปและกล่าวสัมโมทนียกถาให้โอวาท ความว่า จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดนำร่อง เป็นต้นแบบการบูรณาการ “งานราชการกับงานคณะสงฆ์” ในพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีพหุวัฒนธรรมที่ประชาชนมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนา ยิ่งไปกว่านั้นเป็นจังหวัดที่มีพระสงฆ์ที่มีความสามัคคีและมีความสมานฉันท์ มีไวยาวัจกรที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน โดยเฉพาะกับนักเรียน ตลอดจนถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำให้ผู้นำภาคศาสนา ผู้นำภาครัฐ และผู้นำภาควิชาการ ได้มาร่วมกันให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้รวมคณะสงฆ์จากมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย มาประชุมร่วมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกและบรรลุวัตถุประสงค์ จึงขอขอบคุณคณะสงฆ์ทุกท่านที่ให้ความสำคัญ และปฏิบัติตนทำหน้าที่มาร่วมการประชุมดังกล่าว

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ถวายความรู้คณะสงฆ์ โดยกล่าวว่า นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชดำริทั้งปวงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของคณะสงฆ์ทุกรูป และพระผู้ทรงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของประชาชนคนไทย ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยทรงขับเคลื่อนโครงการในพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มากมายให้กับประชาชนคนไทย

เริ่มตั้งแต่โครงการจากนภา ผ่านภูผา สู่มหานที ซึ่งพระองค์ทรงถอดบทเรียนจากโครงการพระราชดำริกว่า 4,741 โครงการ ว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำงานให้สำเร็จได้อยู่ที่ “คน” เพราะการทำงานในพื้นที่ขึ้นอยู่กับคนในแต่ละภูมิสังคม การทำงานจึงต้องดำเนินการให้เข้ากับคนและเหมาะสมกับพื้นที่ จึงเป็นที่มาของหลักการทำงานแบบ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ดังนั้น การที่จะทำให้พวกเราข้าราชการได้เข้าไปนั่งในหัวใจของชาวบ้านได้ เราต้องทำงานแบบ “รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด” ด้วยการลงพื้นที่ไปร่วมทำงานกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชนทุกคน

กระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำแนวทางหลักการทรงงานแบบ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติในระดับพื้นที่ โดยให้ความสำคัญกับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้รับผิดชอบประจำตำบล พัฒนาการอำเภอ และข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกคน มาร่วมกันทำงานแบบบูรณาการกับ 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน เพื่อผนึกกำลังกัน

เริ่มจากการสร้างทีมรวมผู้นำในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้นำภาคศาสนาที่เป็นเสาหลักและมีวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย รวมถึงผู้นำภาควิชาการ และผู้นำภาครัฐที่เป็นข้าราชการ อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาร่วมกันทำสิ่งที่ดีเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมภายใต้หลักการของคำว่า “บวร” คือ บ้าน วัด ราชการ ที่มีผู้นำทุกภาคส่วนมาร่วมกันทำสิ่งที่ดี เป็นแบบอย่างของการที่ “ผู้นำต้องทำก่อน”

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและให้ความสำคัญกับการทำงานแบบบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคศาสนา จึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข (MOU) ร่วมกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม และบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม รวมถึงการขับเคลื่อนโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5” หรือเรียกอีกชื่อว่า “หมู่บ้านคุณธรรม” ร่วมกับสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ซึ่งทุกโครงการล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการร่วมกันอบรมให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ส่งเสริมการเรียนหนังสือให้กับเด็กและเยาวชน โดยมีคณะสงฆ์เป็นเสาหลัก เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนมีความสุข

การมีภาคีเครือข่ายจะสามารถทำงานได้ดีและทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ เราต้องมีทีมที่ดีในการมาร่วมไม้ร่วมมือกันทำงาน กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ผู้เป็นแขนขาของกระทรวงมหาดไทย จึงต้องช่วยกันทำหน้าที่เป็นผู้นำที่แท้จริง ด้วยการลงพื้นที่ไปจับมือกับคณะสงฆ์ ไปช่วยกันวางระบบกลุ่มบ้าน หย่อมบ้าน คุ้มบ้าน หรือป๊อกบ้าน เริ่มด้วยการทำตัวแบบรวงข้าวสุกโน้มตัวเข้าหาประชาชนเพื่อเข้าไปนั่งในหัวใจชาวบ้าน ตามคติธรรม “วิสฺสาสปรมา ญาตี” หรือ “ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง” จึงขอความเมตตาจากพระสังฆาธิการทุกรูป ได้โปรดชี้แนะ ชี้นำ ชี้ทาง ให้แก่กลไกของกระทรวงมหาดไทยในระดับพื้นที่ ทั้งข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อร่วมกันสร้างทีมที่เข้มแข็ง โดยมีพระสงฆ์เป็นภาคีเครือข่ายไปช่วยกันปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่วัด หรือพื้นที่สาธารณูปการ ให้มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้วัดเป็นศูนย์การเรียนรู้ให้กับคนในชุมชน และยิ่งกว่านั้นคือขยายผลไปสู่ชุมชนหรือหมู่บ้านของเรา

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ต้องได้รับความเมตตาจากคณะสงฆ์ และต้องอาศัยการลงมือทำจากพวกเราคนมหาดไทยทุกคน “ผู้นำต้องทำเป็นต้นแบบ” ด้วยการปฏิบัติตนเป็นรวงข้าวสุกที่โน้มตัวเข้าหาประชาชน ดังนั้น ทุกรูปและทุกคนจึงต้องช่วยกันในการนำพาสิ่งที่ดีอันเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่บรรพบุรุษถ่ายทอดมอบให้ ได้คงอยู่กับพวกเราต่อไป จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้มีความสุขในการร่วมกันจับมือกับคณะสงฆ์ไปทำสิ่งที่ดีให้กับประชาชนในพื้นที่ของท่าน ขอให้ความสำเร็จของจังหวัดสมุทรสาครเป็นต้นแบบของประเทศไทย และความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นได้หากทุกคนลงมือทำ เพื่อช่วยกันสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” และแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร ทำให้ประชาชนทุกคนได้มีความสุขอย่างยั่งยืน

นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ขอขอบคุณปลัดกระทรวงมหาดไทยที่ได้กรุณามาบรรยายถวายความรู้ให้แก่พระสังฆาธิการ และให้ความรู้แก่ไวยาวัจกร กำนันและผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยสิ่งที่ท่านได้บรรยายให้พวกเราได้รับฟังถึงภาคีเครือข่าย 7 ภาคีเครือข่าย การรวมตัวกันของคนในชุมชนเป็นกลุ่มบ้าน คุ้มบ้าน โดยใช้กลไกการขับเคลื่อนชุมชนและหมู่บ้าน ซึ่งความสำเร็จจากการทำงานจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการบูรณาการจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ร่วมกันพัฒนาแม่น้ำคูคลองในพื้นที่ของเรา รวมไปถึงการให้คณะสงฆ์ผู้เป็นผู้นำภาคศาสนาได้เป็นเสาหลักชัยในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่ ทำให้วัดอันเป็นสถานที่เคารพสักการะของคนไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ ตามหลัก “บวร” บ้าน วัด ราชการ และช่วยกันทำให้เด็กเยาวชนของประเทศไทยได้เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม เติบโตเป็นอนาคตของชาติต่อไป

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *