โชคดีที่บ้านอยู่สมุทรสาคร

ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือพิมพ์เสียงสาคร ฉบับประจำเดือนมกราคม พ.ศ. 2557

ช่วงนี้ใครที่กำลังเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ อาจจะพบกับความวุ่นวายจากการชุมนุมทางการเมือง ที่มีการปิดถนนในย่านธุรกิจสำคัญหลายจุด แน่นอนว่าการเดินทางด้วยรถส่วนตัวอาจจะไม่สะดวกบ้าง รวมทั้งรถเมล์ ขสมก. มีการยกเลิก หรือตัดระยะหลายเส้นทาง เช่น ปอ.68 ตัดระยะเหลือแค่พาต้าปิ่นเกล้า ไม่เข้าสนามหลวง แต่ยังไม่ถึงกับอัมพาตเพราะมีรถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟใต้ดินที่ยังให้บริการตามปกติ ถึงกระนั้นบรรยากาศบ้านเมืองที่ไม่ปกติยามนี้การทำธุรกิจ การค้า การลงทุน คงต้องชะลอตัว ส่วนงานราชการก็ติดขัดจากผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้หยุดงานประท้วง

คุณผู้อ่านได้อ่านมาถึงจุดนี้แล้วคงจะคิดว่าผมคงไม่พอใจการชุมนุมแน่ๆ แต่เปล่าเลย ผมกลับรู้สึกเฉยๆ อาจเป็นเพราะเราอยู่ในวงจรความขัดแย้งทางการเมืองมานานนับตั้งแต่ปลายปี 2548 แล้วลากยาวเรื่อยมาโดยสองฝ่ายใหญ่ๆ ที่ต่างก็มีอุดมการณ์และข้อเรียกร้องต่างกัน ซึ่งผมขอไม่อธิบายตรงนี้เพราะผมชอบบ่นเรื่องการเมืองเป็นการส่วนตัวมากกว่า แต่ทีนี้ถามว่าในช่วงที่ผ่านมาอยู่กันได้ไหม โดยส่วนตัววิกฤตบ้านเมืองเราเคยผ่านมาแล้ว และผมสังเกตเห็นประชาชนหรือนักธุรกิจพยายามปรับตัวให้หลีกเลี่ยงกับสภาวะการเมือง แล้วก็อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

ผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นสิ่งสำคัญ ยามใดที่เราเกิดเจอเรื่องคับขันการมัวแต่มานั่งตีโพยตีพายมันไม่มีประโยชน์เท่าใดนัก เพราะเราก็ได้แต่เครียด คือคิดมากเอง เครียดเอง เมื่อเราโวยวายกับอารมณ์ผู้อื่น ดีไม่ดีปฏิกิริยาย้อนกลับเราอาจจะซวยได้ แต่หากเรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ มันก็เป็นเช่นนี้ แล้วค่อยหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้มันผ่านไปได้ อย่างช่วงที่ผู้ชุมนุมปิดถนน หลายบริษัทก็แก้ปัญหาด้วยการให้พนักงานทำงานอยู่ที่บ้าน แต่เชื่อเถอะ ผมว่าวิกฤตการชุมนุมทางการเมืองยังเดือดร้อนน้อยกว่าช่วงน้ำท่วม ที่เราแทบจะหาอะไรกินยากขึ้นมากกว่า

แม้การเดินทางไปทำงานของผมจะลำบาก โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ชุมนุมปักหลักโดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งผมทำงานอยู่ละแวกถนนพระอาทิตย์ บางลำพู ก็ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แต่ทุกวันนี้ผมแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการศึกษาเส้นทางก่อนเดินทางมากขึ้น และติดตามข่าวสารว่าผู้ชุมนุมจะไปทางไหน อย่างน้อยผมก็พอที่จะแนะนำคนขับรถแท็กซี่ให้ใช้เส้นทางที่อ้อมออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการชุมนุมได้ แต่ถ้าเดินทางเข้าเมืองไม่ได้จริงๆ ยังพอมีเหตุผลที่จะบอกกับเขาได้บ้างว่าเนื่องจากเดินทางไม่สะดวก และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจ เห็นด้วยหรือไม่ก็อีกเรื่อง

พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ต้องมาพูดถึงสมุทรสาครบ้านเราบ้าง ผมว่าใครที่อยู่สมุทรสาครนี่โชคดีกว่าจังหวัดอื่นแล้วนะ หากตัดเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ แต่หากดูบรรยากาศบ้านเมืองที่นี่ผมว่ายังเบาบาง เพราะที่ผ่านมาบ้านเราไม่เคยมีนักการเมืองที่สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวเพื่อข่มขู่คุกคามฝ่ายที่เห็นต่าง เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศตัวเป็นเมืองหลวงสีนั้นสีนี้ ใครที่เห็นต่างก็เอาพรรคพวกมาไล่ตี ทำร้ายร่างกาย หรือใช้วิทยุชุมชนปลุกระดม อาจเป็นเพราะบ้านเราไม่มีนักการเมืองถึงขั้นเป็นผู้กระหายอำนาจและแสวงหาอิทธิพลราวกับมาเฟียคุ้มกันตัวเองก็ได้

จากการเดินทางไปหลายจังหวัดในช่วงที่ผ่านมา น่าสังเกตว่าสิ่งที่ทำให้บ้านเราเกิดความเจริญขึ้นได้คือภาคเอกชนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในจังหวัดนั้นๆ สมุทรสาครก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าที่นี่มีความเจริญอยู่ในระดับหนึ่ง อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างขาดไปบ้าง แต่หากพูดถึงเรื่องการเมืองในบ้านเราแล้ว ประชาชนที่นี่โชคดีกว่าจังหวัดอื่นเยอะครับ

เพราะฉะนั้น คนสมุทรสาครต้องสร้างบรรยากาศทางการเมืองแบบประคับประคองกันได้เช่นนี้ให้นานที่สุด โดยที่ไม่ต้องบังคับความคิดกัน ฝ่ายไหนแสดงออกทางการเมืองก็เข้าใจกันว่าเป็นความต้องการของประชาชน ไม่มีการทำร้ายรุนแรง เพราะประชาชนไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง ผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งขับไล่รัฐบาลก็ทำกันไป อีกกลุ่มหนึ่งรณรงค์ปล่อยลูกโป่งหรือจุดเทียนสนับสนุนการเลือกตั้งก็ทำกันไป ต่างตนต่างเคารพซึ่งกันและกัน ผมว่าถ้าทำเช่นนี้ได้ก็น่าจะทำให้เป็นจังหวัดต้นแบบที่มีความหลากหลายทางการเมืองอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนนั่นเองครับ



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง