“ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป” กำไรสุทธิ 1,273 ล้านบาท พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ ดูแลการผลิตน้ำมันปลา

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เผยไตรมาส 1 ปี 62 ยอดขายรวม 2.93 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1,273 ล้าน ชี้ยอดขายอาหารแช่เยือกแข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงโตขึ้น อีกทั้งหน่วยธุรกิจส่วนผสมมียอดขายจากการส่งน้ำมันปลาทูน่าให้ผู้ผลิตนมผงเด็ก พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแลการผลิตเฉพาะ โอนธุรกิจจากไทยรวมสินและไทยยูเนี่ยนเข้าด้วยกัน

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ในไตรมาส 1/2562 มียอดขายรวม 29,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท (0.1%) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นในธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็น อาหารทะเลแช่แข็ง และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนยอดขายอาหารทะเลแปรรูปได้รับผลกระทบจากค่าเงินสกุลยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท โดยยอดขายในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 929 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ส่วนกำไรขั้นต้นไตรมาส 1/2562 อยู่ที่ 4,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 994 ล้านบาท (29.3%) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่ามีเสถียรภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,020 ล้านบาท ซึ่งฟื้นตัวจากปัญหาภาวะราคาวัตถุดิบและค่าเงินผันผวน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 404 ล้านบาท (46.5%)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เปิดเผยว่า หากไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแล้ว มูลค่ายอดขายปกติเติบโตขึ้นถึง 2.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เติบโตขึ้นของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น เพิ่มขึ้น 3.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายในสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ยังมียอดขายเพิ่มขึ้น 7.5% เป็น 4,384 ล้านบาท เพราะมีปริมาณการขายเพิ่มมากขึ้น ยอดขายที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสแรกยังคงสัดส่วนอยู่ที่ 42% ที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต โดยยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 40.4% ของยอดขายรวม ถือว่ายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัทฯ ส่วนตลาดยุโรปอยู่ที่ 27.9% ตลาดประเทศไทย 13.1% ยอดขายจากญี่ปุ่น 4.7% และตลาดอื่นๆ 13.9%

“การบริหารกระแสเงินสดอิสระที่ดีเยี่ยมต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเป็น 1.35% เมื่อเทียบกับ 1.4 เปอร์เซ็นต์ในปีก่อนหน้า โดยระหว่างไตรมาสมียอดขายจากหน่วยธุรกิจอินกรีเดียนท์ (Ingredients) หลังจากที่น้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ 100 เมตริกตันแรกได้ถูกส่งให้กับบริษัทผู้ผลิตนมผงเด็ก ผลงานไตรมาสแรกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีสำหรับไทยยูเนี่ยน ถือเป็นผลจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการฟื้นตัวของการทำกำไร ทำให้เราเริ่มเห็นผลกำไรต่อเนื่อง มีการฟื้นตัวของการดำเนินธุรกิจโดยรวมและการดำเนินงานเป็นปกติ” นายธีรพงศ์ กล่าว

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ยังได้เข้าซื้อที่ดินจากบริษัท ไทยยูนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยและเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน 2 โฉนด พื้นที่ 92-0-86.3 ไร่ และ 4-1-74 ไร่ บริเวณชายหาดนาใต้ อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา มูลค่าที่ดิน 440 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของงบริษัท ไทยยูเนี่ยน แฮชเชอรี่ จำกัด ในปัจจุบันและการขยายธุรกิจในอนาคต

อีกทั้งยังได้จัดตั้ง บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจน้ำมันปลา โดยการโอนธุรกิจโรงงานสกัดน้ำมันปลาที่อยู่ในการดูแลของบริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด และหน่วยธุรกิจอินกรีเดียนท์ ภายใต้บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ปฯ มาอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ และการควบคุมคุณภาพของน้ำมันปลาสกัด รองรับการขยายตลาด และเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *