“ไทยยูเนี่ยน” ลงทุนนวัตกรรมเพิ่ม ตั้งเป้าปี 63 รายได้พุ่ง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เผยลงทุนตั้งศูนย์นวัตกรรม เพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารทะเล พร้อมจดสิทธิบัตร “ทูน่าสไลซ์” ชิมทูน่าสดในรูปแบบใหม่ และพัฒนาไส้กรอกทูน่าไขมัน 1% พร้อมวางตลาด คาดปี 2563 สร้างรายได้ 10% จากจำนวนเป้าหมาย 8 พันล้านเหรียญฯ

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยระหว่างจัดนิทรรศการที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กทม. ในโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีของบริษัท ว่า ในปี 2561 จะใช้งบไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ลงทุนทางด้านนวัตกรรมการผลิตต่อเนื่อง หลังจากที่ปี 2558 จัดตั้งศูนย์นวัตกรรม ใช้งบลงทุน 900 ล้านบาท โดยมีมหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์นวัตกรรม (GII) สนับสนุนนักวิจัยมุ่งพัฒนาสินค้าใหม่ บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารทะเลของไทยและตอบสนองความต้องการในเรื่องโภชนาการของผู้บริโภค

โดยก่อนหน้านี้ศูนย์นวัตกรรม ได้จดลิขสิทธิ์ทูน่าสไลซ์ ให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสปลาทูน่าที่สดจากธรรมชาติในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่า และยังเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตไส้กรอกทูน่า ให้มีรสชาติและโภชนาการมากขึ้น โดยมีไขมันเพียง 1 เปอร์เซนต์ ซึ่งสินค้าอาหารทั้งสองชนิดทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100 เปอร์เซนต์และเริ่มขายในตลาดแล้ว นอกจากนี้ กำลังพัฒนาวัตถุดิบทางทะเล ที่จะเพิ่มการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบธรรมชาติ เพื่อสร้างสรรค์แหล่งโปรตีนสำหรับการบริโภคของมนุษย์และใช้ในหลากหลายสินค้า รวมถึงโภชนเภสัชที่ใช้น้ำมันทูน่าสกัด ซึ่งมีดีเอชเอ โอเมก้า 3 เหมาะสำหรับสุขภาพและพัฒนาการของทารก

ส่วนนโยบายความยั่งยืนของบริษัทฯ หรือ ซีเชนจ์ (SeaChange) นั้น เป็นความพยายามที่จะให้ครอบคลุมทุกส่วนของธุรกิจอาหารทะเล ตั้งแต่การดูแลมหาสมุทรไปจนถึงการกำจัดขยะ ตลอดจนความรับผิดชอบที่บริษัทมีต่อแรงงานและการสร้างอนาคตให้กับผู้คนและสังคมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งในปี 2559 ได้ประกาศพันธกิจความยั่งยืนด้านปลาทูน่า โดยลงทุน 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเริ่มต้น ตั้งโครงการพัฒนาการประมง 11 โครงการทั่วโลก เพื่อเพิ่มปริมาณปลาทูน่าอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับกรีนพีซ เพื่อผลักดันเรื่องอาหารทะเลที่ความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งที่ประชุมเศรษฐกิจประจำปีโลก เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้ให้พันธสัญญาต่อแถลงการณ์การตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของปลาทูน่า ปี 2563 เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ และยังได้ลงนามเป็นสมาชิกในโครงการ Seafood Business for Ocean Stewardship (SeaBOS) อีกด้วย เพื่อที่จะทำให้ท้องทะเลแข็งแรงและดีขึ้นในปัจจุบันและเพื่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต

ส่วนกลยุทธ์หลักการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเรื่องของการซื้อกิจการ ควบรวมกิจการต่อเนื่อง ในกิจการที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพ เพื่อขยายกิจการและสร้างการเติบโตอย่างมีศักยภาพแบบยั่งยืน แต่ในช่วงปีสองปีนี้ อาจจะยังไม่เห็นการซื้อกิจการอะไรใหม่ๆ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ เพิ่งได้ลงทุนซื้อกิจการมาจำนวนมากแล้ว ซึ่งรายได้รวมอยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ 70% มาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยเป็นเจ้าของแบรนด์ใหญ่ของโลก เช่น ชิกเก้นออฟเดอซี, จอห์นเวสต์, เปอตี๊ด นาเวร์, พาร์เมนเทียร์, คิงออสการ์ เป็นต้น รวมทั้งแบรนด์ดังในไทยด้วย เช่น ฟิชโช ซีเล็ค เบลอตต้า เป็นต้น

ขณะที่นายธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม กล่าวว่า ภายในปี 2563 นวัตกรรมจะมีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน และคาดว่าจะสร้างรายได้ 10% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทฯ ที่คาดไว้ที่ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สาครออนไลน์ เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *