โรงพยาบาลเอกชนสมุทรสาครแข่งดุ
เมืองเศรษฐกิจที่มีศักยภาพทั้งทางด้านการอุตสาหกรรม การประมงและเกษตรกรรม กระทั่งติด 1 ใน 10 ของประเทศที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัวสูง สมุทรสาครนับเป็นจังหวัดที่มีจำนวนแรงงานสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ด้วยจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 367,520 คน (ณ เดือนพฤศจิกายน 2558)
แน่นอนว่า ระบบประกันสุขภาพที่สำคัญสำหรับแรงงาน และผู้ประกอบอาชีพรับจ้างก็คือ “กองทุนประกันสังคม” ซึ่งเป็นระบบประกันสุขภาพหนึ่งในสามเสาหลัก นอกจากกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ข้อมูลจากสำนักงานประกันสังคม (ณ เดือนธันวาคม 2558) พบว่ามีสถานประกอบการที่เข้าร่วมประกันสังคม รวม 9,211 แห่ง มีจำนวนผู้ประกันตนภาคบังคับ (มาตรา 33) 381,708 คน, ผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 39) 27,429 คน และผู้ประกันตนภาคสมัครใจ (มาตรา 40) 32,397 คน
เบ็ดเสร็จทั้งจังหวัดสมุทรสาคร มีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมรวมทั้งสิ้น 441,534 คน
ถือเป็นตัวเลขที่จูงใจให้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่ง เข้าร่วมโครงการประกันสังคมในแต่ละปี เพื่อช่วงชิงงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากการให้บริการประกันสังคม ที่ได้รับจากสำนักงานประกันสังคมเป็นประจำทุกปี ต่อผู้ประกันตน 1 ราย จะได้รับ 1,460 บาท
ไม่นับรวมค่าบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้นจากค่าเหมาจ่ายรายหัว สำหรับสถานพยาบาลที่ต้องรับภาระกรณีโรคที่มีความเสี่ยงตามอัตราใช้บริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตน 432 บาท สถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองคุณภาพจะได้รับเพิ่ม 66 บาท รวมถึงจะจ่ายให้แก่โรคที่มีภาวะความเสี่ยงสูง 560 บาท
เมื่อรวมแล้ว สำนักงานประกันสังคม จัดงบรองรับผู้ประกันตนเฉลี่ยรายละ 2,518 บาท
ยิ่งมีผู้ประกันตนในมือมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะได้รับเงินงบประมาณรายหัวสูงถึงหลักร้อยล้านบาท ซึ่งหากแต่ละปีมีการใช้จ่ายแก่ผู้ประกันตนที่เข้ารับการรักษาน้อยเพียงใด ส่วนที่เหลือจึงตกเป็นกำไรของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น แม้จะไม่หวือหวาเทียบเท่ากลุ่มลูกค้าเงินสดในยามที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู
โรงพยาบาลหลายแห่งถึงกับเน้นกลุ่มลูกค้าประกันสังคม โดยเชิญชวนเข้าร่วมเป็นผู้ประกันตน เพื่อเป็นรายได้เสริมแบบ “กระเป๋าขวา” ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซา นอกจากกลุ่มลูกค้าเงินสดที่โรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งต่างพึ่งพาจากผู้ที่มีกำลังซื้อสูง และชนชั้นกลางที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง
ความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลเอกชนในช่วงที่ผ่านมา หากไม่นับโรงพยาบาลเอกชัย ที่ออกจากโครงการประกันสังคมเมื่อปี 2554 จะเห็นได้ว่าโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งต่างก็มีกลยุทธ์ในการทำการตลาด ด้วยการชูความเป็นศูนย์การแพย์เฉพาะทางกับกลุ่มลูกค้าเงินสด
สลับกับการเชิญชวนเปลี่ยนสถานพยาบาล และเข้าร่วมเป็นผู้ประกันตนโรงพยาบาลนั้นๆ โดยชูว่ามีสถานพยาบาล คลีนิคต่างๆ ในเครือข่ายมากมาย เพื่อรองรับผู้ประกันตนที่เจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลใกล้บ้าน โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล
โรงพยาบาลบางแห่ง ถึงกับแยกโรงพยาบาลสำหรับลูกค้าประกันสังคมต่างหาก
เช่น โรงพยาบาลมหาชัย 3 เปิดเมื่อปี 2551 ให้บริการตรวจรักษาผู้ประกันตนด้านอายุรกรรม ศัลยกรรม และนรีเวชกรรม ระบบทุติยภูมิ หากเกี่ยวข้องกับหัตถการการผ่าตัด การรักษาเฉพาะทาง หรือกลุ่มผู้ป่วยหนักที่มีความเสี่ยงสูง จะส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาชัยที่อยู่ติดกัน
ขณะที่โรงพยาบาลศรีวิชัย 2, 3 และ 5 แม้หลังรีแบรนด์ดิ้งใหม่เป็น “วิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล” ในส่วนของหนองแขมจะเหลือเฉพาะกลุ่มลูกค้าทั่วไป โดยไม่ได้บริการกลุ่มลูกค้าประกันสังคมแล้ว แต่ที่อ้อมน้อยและสมุทรสาครยังคงรองรับกลุ่มผู้ประกันตนได้อีกมาก
ในปี 2559 การแข่งขันของโรงพยาบาลเอกชนในสมุทรสาครจะหนักหน่วงยิ่งขึ้น ทั้งการปรับปรุงโรงพยาบาล ที่สร้างอาคารใหม่ขึ้นเพื่อขยับขยาย และชูความเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง โดยที่มีลูกค้าผู้ประกันตนเดิมเหนียวแน่น และการแจ้งเกิดของโรงพยาบาลน้องใหม่ในพื้นที่ มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาช่วงชิงผู้ประกันตน
โรงพยาบาลมหาชัย 2 ย่านอ้อมน้อย ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2535 หลังต่อสัญญาใหม่กับเจ้าของที่ดิน ได้ที่ดิน 7 ไร่ และเพิ่มอีก 2 ไร่ติดถนนใหญ่ รวมเป็น 9 ไร่ ทุ่มงบประมาณ 800 ล้านบาทก่อสร้างอาคารใหม่ สูง 11 ชั้น คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2559 ยกระดับเป็นศูนย์การแพทย์เฉพาะทางบนถนนเพชรเกษม
อาคารใหม่ สูง 11 ชั้น จะมีเนื้อที่ใช้สอย 22,134 ตารางวา มีทั้งศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง คลีนิคแพทย์ทางเลือก เหมือนโรงพยาบาลมหาชัย และแผนกผู้ป่วยใน ชั้นละ 24 เตียง บนชั้น 7-11 รวมเป็น 124 เตียง แถมชั้นดาดฟ้าเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์อีกด้วย เป็นที่จับตามองและดึงดูดคนอ้อมน้อยยิ่งนัก
ปัจจุบันทำเลย่านอ้อมน้อย ซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรมและชุมชนหนาแน่น โรงพยาบาลที่ยังเหลือโควตารองรับผู้ประกันตนนั้น โรงพยาบาลมหาชัย 2 เหลือโควตาเพียงแค่ 3,241 คน ขณะที่โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย ที่อยู่ใกล้กัน เหลือโควตาผู้ประกันตนรองรับได้อีก 26,340 คน
มาที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ที่มีผู้ประกันตนมากถึง 2.8 แสนคน ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนที่รองรับกลุ่มลูกค้าประกันสังคมอยู่ 2 แห่ง โรงพยาบาลมหาชัย 3 มีโควตาผู้ประกันตนคงเหลือ 38,656 คน และโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร มีโควตาคงเหลือ 50,940 คน
ที่น่าจับตามองที่สุด คือ เครือโรงพยาบาลวิภาวดี ที่มีโรงพยาบาลในเครือทั้งโรงพยาบาลรามคำแหง และโรงพยาบาลวิภาราม ที่เจาะกลุ่มลูกค้าประกันสังคมเป็นหลัก เตรียมที่จะเปิด “โรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร” บนถนนพระราม 2 ตรงข้ามนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร ในเดือนมีนาคมนี้
โดยเป็นอาคารสูง 9 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ 9 ไร่ 1 งาน 98 ตารางวา ใช้เวลาก่อสร้างมานาน 3 ปี มูลค่าการลงทุน 800-1,000 ล้านบาท เบื้องต้นจะเปิดให้บริการก่อน 100 เตียง รองรับกลุ่มลูกค้าประกันสังคม ในย่านนิคมอุตสาหกรรม โดยจะมีการเพิ่มเป็น 200 เตียงในอนาคต
ถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของโรงพยาบาลมหาชัย 3 เครือโรงพยาบาลมหาชัย และโรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาคร เครือศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ ที่เจาะกลุ่มลูกค้าประกันสังคม และผู้ใช้แรงงานโดยตรง จะต้องรับมือกับโรงพยาบาลน้องใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในเร็ววันนี้ แม้จะยังไม่เกิดภาวะผู้ประกันตนไหลไปโรงพยาบาลแห่งใหม่ก็ตาม
ทราบมาว่า การเปิดโรงพยาบาลวิภาราม สมุทรสาคร จะยังคงเปิดรักษาลูกค้าทั่วไป ไม่ได้เข้าร่วมโครงการประกันสังคมในปีนี้ ในช่วงที่สำนักงานประกันสังคม ประกาศแจ้งเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำปี 2559 โรงพยาบาลเอกชนเดิมทั้ง 2 แห่งก็ยังคงเปิดรับผู้ประกันตนอยู่เรื่อยๆ โดยอาจจะชูด้านสถานพยาบาลในเครือข่าย และคุณภาพการรักษา
เมื่อโรงพยาบาลวิภารามสมุทรสาครเข้าร่วมโครงการประกันสังคม ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2560 จะเกิดสงคราม Red Ocean ที่ทั้ง 3 โรงพยาบาลจะต้องยื้อยุดช่วงชิงผู้ประกันตนให้มาอยู่ในมือให้ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ควบรวมกิจการของโรงพยาบาลเอกชนทุนใหญ่เทคโอเวอร์ทุนเล็ก ในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะนอกจากผู้ประกันตนในสมุทรสาครที่มีมากถึง 2.8 แสนรายแล้ว ยังมีจังหวัดติดกันอย่างสมุทรสงคราม ที่มีผู้ประกันคน 31,978 คน (ภาคบังคับ 15,644 คน ภาคสมัครใจมาตรา 39 จำนวน 3,863 คน และมาตรา 40 จำนวน 12,471 คน) จากจำนวนสถานประกอบการ 1,173 แห่ง ไม่มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการและส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกันตนโรงพยาบาลเอกชนในสมุทรสาคร
แม้จะไม่ถึงขั้นล้มหายตายจาก แต่ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน.