
ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย โดยมีเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคประชาชน พรรคกล้าธรรม และอดีตพรรคร่วมรัฐบาลก่อนหน้านี้ นโยบายที่เกี่ยวข้องหรือฉิวเฉียดคนสมุทรสาคร จะมีอะไรที่เกิดขึ้นมาใหม่ นโยบายอะไรจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่ได้ไปต่อ และนโยบายอะไรที่ส่อล่มกลางคัน
แต่ก่อนอื่น เมื่อนายอนุทินจะเป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.มหาดไทย ถือเป็นการกลับมานำทัพกระทรวงคลองหลอด หลังถูกเว้นวรรคมา 2-3 เดือนเพราะพรรคเพื่อไทยเอาเก้าอี้คืน ระหว่างนั้นในช่วงที่นายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ก็แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไปไม่น้อยเหมือนกัน เป็นที่วิจารณ์ว่าเพื่อรองรับการเลือกตั้งใหม่
ปรากฎว่าเก้าอี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครกำลังจะว่างลง เพราะนายนริศ นิรามัยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ย้ายกลับบ้านเกิดเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ส่วนคนที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ สมุทรสาครคนใหม่ยังไม่มี ท่ามกลางก่อนหน้านี้ยุคนายภูมิธรรมย้ายผู้ว่าฯ หลายคนไปตบยุงเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง
ต้องคอยดูว่ากระทรวงมหาดไทยจะเคาะใครเป็นผู้ว่าฯ สมุทรสาครต่อจากนายนริศ เพราะหากปล่อยให้จังหวัดเกิดสูญญากาศ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของคนสมุทรสาคร ที่ต้องการผู้ว่าฯ ตัวจริงสั่งการและแก้ไขปัญหาสารพัด
รวมถึงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ที่ปล่อยให้ว่างเว้นมานานกว่าครึ่งปี หลังจากที่มีการโยกย้ายนายวรณัฎฐ์ หนูรอต ไปเป็นที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้มี ร.ต.อ.เขตรัฐ ชาญศิลป์ ทำงานเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เพียงคนเดียว
ส่วนนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ที่อาจจะไม่ได้ไปต่อในวันนี้ คือ นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่มีผู้ลงทะเบียนกว่า 36 ล้านคน ถูกระงับไว้โดยอ้างว่าต้องรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ แต่ที่กำลังจะมาคือ นโยบายร่วมจ่าย หรือโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังพิจารณาปัดฝุ่นอีกครั้ง
เหตุเพราะนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เสนอให้รัฐบาลสนับสนุนโครงการคนละครึ่ง เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน และผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกว่า 7 แสนราย เชื่อว่าเป็นมาตรการที่ตรงจุดที่สุด ช่วยกระตุ้นการจับจ่าย ลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และสร้างรายได้หมุนเวียนเข้าสู่ธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมาโครงการคนละครึ่ง เฟส 1-4 ใช้งบประมาณรวมกันกว่า 2.1 แสนล้านบาท แต่งบประมาณในขณะนี้มีจำกัด ซึ่งนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า หากนำกลับมาใช้ก็อาจไม่ใช่รูปแบบเดิมทั้งหมด อาจมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมให้ครอบคลุมและตอบโจทย์มากขึ้น
ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่มีผู้ลงทะเบียนกว่า 2 แสนราย ส่อเค้าว่าจะไม่ได้ไปต่อ เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับยังรอวุฒิสภาพิจารณา และยังถูกวิจารณ์ถึงความคุ้มค่า เพราะต้องใช้งบประมาณราว 8,000 ล้านบาทต่อปี ไปอุดหนุนเอกชนเจ้าของสัมปทานรถไฟฟ้า เพื่อชดเชยส่วนต่างรายได้ที่หายไป
ขณะที่ประชาชนซึ่งลงทะเบียนไปแล้ว เรียกร้องให้เอกชนกลับมาจำหน่ายเที่ยวเดินทางคืนมา เพราะหากหลังวันที่ 1 ต.ค. ไม่มีโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ต้องจ่ายค่าโดยสารปกติ ซึ่งจะต้องจ่ายค่ารถไฟฟ้าแพงขึ้น 1-2 เท่า
ก่อนหน้านี้พรรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงเมื่อปี 2566 ว่าจะผลักดันรถเมล์ไฟฟ้า ลด PM 2.5 ค่าโดยสารเริ่มต้น 10 บาท สูงสุด 40 บาท ทุกเที่ยว ทุกสาย ตลอดวัน ซึ่งเอกชนทำแล้ว คือกลุ่มไทยสมายล์บัส แต่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กำลังจัดหารถเมล์ไฟฟ้า (EV) 1,520 คัน วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท สัญญาเช่า 7 ปี ตาดว่าจะทยอยรับรถกลางปี 2569 เป็นต้นไป
ถึงตอนนั้นหากตามบันทึกข้อตกลง (MOA) ว่าจะต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นโยบายรถเมล์ไฟฟ้า 40 บาทตลอดสาย ยังไงก็ไม่ทัน จึงให้เป็นเรื่องของรัฐบาลสมัยหน้าไป
แต่สำหรับโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงสมุทรสาคร คือ โครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 8 นครปฐม-ชะอำ เฟส 1 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทางประมาณ 61 กิโลเมตร วงเงิน 45,939 ล้านบาท ที่สร้างด่านศีรษะทองเชื่อมกับมอเตอร์เวย์หมายเลข 81 บางใหญ่-กาญจนบุรี รอไว้แล้ว แนวเส้นทางผ่านถนนบ้านแพ้ว-พระประโทน บริเวณด่านตลาดจินดา จ.นครปฐม
หากก่อสร้างแล้วเสร็จ นอกจากแบ่งเบาภาระการจราจรบนถนนพระรามที่ 2 มุ่งหน้าสู่โซนกรุงเทพฯ เหนือ ไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่ต้องผ่านใจกลางกรุงเทพฯ แล้ว พื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว ที่มีโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) ตั้งอยู่ ยังสามารถใช้เดินทางไปยังโซนกรุงเทพฯ เหนือ และท่าอากาศยานดอนเมืองได้โดยไม่ต้องใช้ถนนพระรามที่ 2 อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ได้นำส่งโครงการนี้ไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งกรมทางหลวงจะลงทุนก่อสร้างงานโยธาเองโดยใช้งบประมาณแผ่นดินหรือเงินกู้ ส่วนงานระบบและซ่อมบำรุง (O&M) จะใช้รูปแบบ PPP คือการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ต้องดูว่าเจ้ากระทรวงคนใหม่จะผลักดันหรือไม่
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแบบคร่าวๆ ระหว่างรัฐบาลอนุทินมีเวลาบริหารบ้านเมืองเพียง 4 เดือน ก่อนที่จะยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ต่อไป.
-กิตตินันท์ นาคทอง-