ชนะแค่ยกแรก ศึกถ่านหิน ‘นายทุน-ม็อบ’ รบกันอีกยาว

เสียงไชโยโห่ร้องของผู้ชุมนุมกลุ่มต่อต้านถ่านหินอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตสมุทรสาคร นำโดย “กำจร มงคลตรีลักษณ์” นายกสมาคมประมงสมุทรสาคร ที่รวมตัวกันปิดถนนพระราม 2 เมื่อบ่ายวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาดังขึ้นบนท้องถนนทันที ภายหลังผู้ว่าฯ สมุทรสาคร “จุลภัทร แสงจันทร์” ยอมทำตามข้อเรียกร้องเบื้องต้น คือสั่งให้ผู้ประกอบการนำเข้าและจำหน่ายถ่านหินทุกรายในจังหวัดหยุดดำเนินการทันที

ลำดับต่อมาคือ สั่งการให้กรมเจ้าท่าจัดส่งเรือ พร้อมเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่าเฝ้าระวังไม่ให้มีการแอบลักลอบขนถ่ายถ่านหิน และสั่งการให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขันผู้ประกอบการถ่านหินทุกรายให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ส่วนการขนถ่ายถ่านหินที่เหลือ ให้จังหวัดแจ้งกำชับส่วนราชการ หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้มงวดกวดขันและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ขณะเดียวกัน ผู้ว่าฯ สมุทรสาครยังให้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการร่วม (เบญจภาคี) ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ ผู้แทนผู้ชุมนุม และผู้แทนสื่อมวลชน เพื่อร่วมสำรวจและตรวจสอบสถานประกอบการที่ยังมีถ่านหินเก็บกองอยู่ และยังมิได้ขนย้ายหรือจำหน่าย เพื่อกำหนดขั้นตอน วิธีการ และระยะเวลาในการขนถ่ายหรือย้าย หรือจำหน่ายให้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนดร่วมกัน หลังก่อนหน้านี้ยื่นข้อเสนอการทำประชาพิจารณ์ แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมเกรงว่านายทุนจะเข้าแทรกแซง โดยเฉพาะทำประชาพิจารณ์ปลอมในช่วงที่ผ่านมา

ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวปิดถนนโดยกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านถ่านหินในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะสภาพปัญหาที่ชาวบ้านหลายพื้นที่ ต่างทนทุกข์ทรมานกับฝุ่นผงถ่านหินที่ฟุ้งกระจาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่ต้องผจญกับฝุ่นผงถ่านหินปลิวเข้าไปในบ้าน เมื่อสัมผัสจะเกิดอาการคัน หรือหนักหนาสาหัสที่สุดคือโรคระบบทางเดินหายใจ และผลผลิตทางการเกษตรด้อยคุณภาพ โดยเฉพาะมะม่วงและฝรั่งที่มีผงถ่านหินติดอยู่ ไม่สามารถนำไปจำหน่ายได้

นอกจากนี้ ฝ่ายที่ประกอบการประมงยังตั้งข้อสังเกตว่า เรือบรรทุกถ่านหินที่ขนถ่ายจากเกาะสีชัง จ.ชลบุรี แล่นเข้ามายังแม่น้ำท่าจีน หลังขนถ่ายถ่านหินที่ท่าเรือต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ลำเรือจะลอยสูงขึ้น ต้องสูบน้ำในแม่น้ำเข้าไปในตัวเรือเพื่อถ่วงให้เรือลอดใต้สะพานท่าจีน 2 (กระทุ่มแบน), สะพานพุทธมณฑลสาคร (วัดพันธุวงษ์), สะพานท่าจีน 3 (วัดบางปลา) และสะพานท่าจีน ถ.พระราม 2 ก่อนที่จะสูบน้ำออกจากตัวเรือลงสู่ปากอ่าวมหาชัย ทำให้มีน้ำโสโครกปะปน ทั้งฝุ่นและคราบถ่านหิน ไหลวนเวียนตกลงค้างอยู่ในทะเล ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำอย่างหนัก

ก่อนหน้านี้การรวมตัวของกลุ่มชาวบ้านที่ต่อต้านผู้ประกอบการถ่านหิน เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ เช่น ต.สวนส้ม อ.บ้านแพ้ว ซึ่งมีท่าเทียบเรือและคลังสินค้าของ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส ซึ่งตั้งโรงงานในพื้นที่สีเขียวอย่างน่าแปลกประหลาดมานานกว่า 6 ปีแล้ว หรือที่ ต.นาดี อ.เมืองฯ ซึ่งเป็นที่ตั้งคลังสินค้าของ บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี และล่าสุดกับพื้นที่ ต.ท่าทราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บ.เทคนิทีม ไทยแลนด์ และบมจ.เอเชีย กรีนฯ เตรียมที่จะก่อสร้างท่าเทียบเรือและคลังสินค้าในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ก็มีกลุ่มชาวบ้านออกมาต่อต้านเช่นเดียวกัน

แต่การต่อต้านถ่านหินของกลุ่มชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวกันเฉพาะพื้นที่ต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งฝ่ายข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มองว่าเป็นเพียงการเรียกร้องความเดือดร้อนเฉพาะจุด นานวันเข้ากลุ่มผู้ประกอบการประมง นำโดยสมาคมประมงสมุทรสาครเริ่มออกมาเคลื่อนไหว โดยใช้วิธีแสวงหาแนวร่วมจากชาวบ้านกลุ่มต่างๆ กระทั่งเกิดเป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวใหญ่มาแล้วรอบหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ที่ผ่านมา

นอกจากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรงเดินทางมายังตัวเมืองสมุทรสาครแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากพลังเงียบที่เมื่อเห็นภาคประชาชนออกมาเคลื่อนไหว ก็เกิดความต้องการมีส่วนร่วมเพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่กลุ่มผู้ชุมนุมนำเสนอ โดยเฉพาะผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของถ่านหิน ไม่นับทัศนคติต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัด กลับมีความรู้สึกว่ามีภาพของการเข้าข้างนายทุนพร้อมกับกระแสข่าวที่ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ จนเกิดความไม่พอใจในกลุ่มชาวบ้าน และไม่เชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาต่อไป

หากจะให้วิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวในวันข้างหน้า การแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมในรูปแบบเบญจภาคี โดยผู้แทนภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ ผู้แทนผู้ชุมนุม และผู้แทนสื่อมวลชน ที่จะร่วมกันกำหนดกติกา อาจจะไม่ใช่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อย่างแท้จริงนัก เนื่องจากที่ผ่านมาอย่างน้อยเจ้าหน้าที่รัฐและ อปท.ถูกมองว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ รวมทั้งสื่อมวลชนที่ฝ่ายผู้ชุมนุมโจมตีว่าถูกนายทุนถ่านหินซื้อเพราะไม่นำเสนอข่าว ต้องดูกันว่าหน้าตาของคณะกรรมการร่วมจะเป็นอย่างไร จะได้บุคคลที่เหมาะสมและเข้าใจปัญหาเข้ามาหรือไม่

ขณะเดียวกัน ฝ่ายผู้ประกอบการนำเข้าและจำหน่ายถ่านหิน ซึ่งทั้งหมดยินยอมทำตามคำสั่งผู้ว่าฯ สมุทรสาครแต่โดยดี สองบริษัทใหญ่อย่าง ยูนิคไมนิ่งฯ และเอเชีย กรีนฯ มีการรับมือโดยหันมาใช้ท่าเทียบเรือที่ จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นจุดขนถ่ายแทน แต่สำหรับบางบริษัทอย่างเทคนิทีม ไทยแลนด์ ได้รับผลกระทบเต็มๆ เพราะผลจากคำสั่งผู้ว่าฯ ทำให้ขาดรายได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษาลงโทษทั้งโทษปรับและโทษจำคุกให้รออาญาไว้ก่อนมาแล้ว รวมทั้งเคยมีมติให้ทั้งโรงงานและท่าเรือหยุดดำเนินการขนถ่ายถ่านหินเป็นการชั่วคราว แต่กลับยอมฝ่าฝืน แอบลักลอบขนถ่ายถ่านหินทางเรือ กลายเป็นชนวนที่ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจอย่างมาก

ว่ากันว่า หลังจากสัปดาห์นี้เป็นต้นไปอาจมีรายการ “เอาคืน” จากผู้ประกอบการถ่านหิน ซึ่งเสียผลประโยชน์จากการปิดท่าเรือและคลังสินค้า เริ่มจากฝ่ายของ ยูนิคไมนิ่งฯ รองกรรมการผู้จัดการ “พงษ์ระพี เครือชะเอม” ออกมาเปิดเผยว่าจะยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะมีความมมั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งของทางภาครัฐในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและป้องกันการฟุ้งกระจายของถ่านหินในการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ อย่างเคร่งครัดเสมอมา

นอกจากนี้ฝ่ายผู้ประกอบการที่ต่อสู้กับกลุ่มชาวบ้านโดยตลอดคือ “วีระวัฒน์ เขตพารา” ผู้จัดการบริษัทเทคนิทีม ที่มักจะถ่อมตัวเองว่าเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก อาจจะเคลื่อนไหวด้วยการท้าพิสูจน์ตั้งแต่พาไปดูบ่อสาธิตในบริษัทฯ ว่าสัตว์น้ำที่อยู่ในบ่อน้ำที่ผสมถ่านหินยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทั่งเปิบพิสดารด้วยการรับประทานเม็ดถ่านหินเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า CSR เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าให้ความสำคัญต่อชุมชน

อีกประการหนึ่ง ฝ่ายผู้ประกอบการอาจใช้ช่องทางศาลปกครอง เพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว โดยอ้างว่าคำสั่งของผู้ว่าฯ สมุทรสาครออกมาโดยมิชอบ เป็นการทำหนังสือตามแรงกดดันของผู้ชุมนุมที่ปิดถนนพระราม 2 โดยเอาผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นตัวประกัน ขณะเดียวกันฝ่ายโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการอ้างถึงความจำเป็น กดดันให้ทางจังหวัดฯ ผ่อนผันให้ผู้ประกอบการถ่านหินสามารถดำเนินการต่อไปได้

เป็นที่น่าสังเกตถึงรองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร “สุริยะ ประสาทบัณฑิตย์” ซึ่งที่ผ่านมาทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านรับหน้าเสื่อเจรจาหย่าศึกระหว่างชาวบ้านและผู้ประกอบการแทนตลอด แต่เมื่อมีอยู่คราวหนึ่งที่กลับวางตัวไม่เป็นกลางเสียเอง ด้วยการบิดเบือนความจริงว่า ถ่านหินก็เหมือนฝุ่นแป้ง นำมาสู่การขับไล่ของผู้ชุมนุมควบคู่ไปกับข้อเรียกร้องด้วย แม้ผู้ว่าฯ จะรับปากว่าจะไม่ให้ลงนามเอกสาร แต่ต้องจับตาท่าทีที่ถูกผลักให้เป็นศัตรูว่า จะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการถ่านหินมากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะการออกความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนในจังหวัด

หน้าซีด – นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ รองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เดินออกจากรถปราศรัยของผู้ชุมนุมกลุ่มต่อต้านถ่านหิน โดยมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและมีเจ้าหน้าที่คุ้มกันตลอดเวลา หลังผู้ชุมนุมกลุ่มต่อต้านถ่านหินยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจุลภัทร แสงจันทร์ ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ให้ย้ายนายสุริยะออกจากพื้นที่ ขณะที่นายจุลภัทรปราศรัยยื่นข้อเสนอต่อแกนนำผู้ชุมนุม เนื่องจากนายสุริยะถูกมองว่าวางตัวไม่เป็นกลางต่อกรณีผู้ประกอบการถ่านหินสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน (ภาพ : กิตตินันท์ นาคทอง)

อีกด้านหนึ่ง ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร “อภิชิต ประสพรัตน์” สวมบทบาทเป็นโซ่ข้อกลาง เสนอหน้าขอเจรจากับแกนนำผู้ชุมนุมโดยอ้างว่าจะเกิดเหตุบานปลาย เพราะก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าฝ่ายนายทุนจะขนคนงานออกมาชุมนุมแบบม็อบชนม็อบ ภายหลังการชุมนุมผ่านพ้นไปกลับออกมาโอดครวญว่าหากมีการปิดกั้นไม่ให้ภาคอุตสาหกรรม ใช้พลังงานถ่านหินซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกที่ถูกกว่าน้ำมันเตา จะทำให้ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าต่างๆ ทั้งด้านอุปโภคบริโภคต้องเพิ่มภาระต้นทุนมากขึ้น

ขณะที่ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่คาดว่า เป็นฝ่ายนายทุนผู้ประกอบการนำเข้าถ่านหิน ก็มีการใช้วิชามารโจมตีแกนนำที่เคลื่อนไหว ในวันชุมนุมที่ผ่านมา สาครออนไลน์พบใบปลิวโจมตีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายนิกร แซ่เอี๊ยบ ส.อบต.บางกระเจ้า ฐานะแกนนำประมงชายฝั่งสมุทรสาคร, นายกำจร มงคลตรีลักษณ์ และนายชูชัย สุดดี สมาชิกชมรมเรืออวนดำสมุทรสาคร กล่าวหาว่ามีนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหาอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งเรื่องส่วนตัว แต่นับว่าโชคดีที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้ยึดหลักแกนนำเป็นศูนย์กลาง ทำให้การโจมตีดังกล่าวไม่เป็นผล แต่ข่าวลือในลักษณะเช่นนี้จะเป็นชนักติดหลังแกนนำหากไม่มีการชี้แจง

ใบปลิวดังกล่าวนอกจากจะโจมตีแกนนำผู้ชุมนุมแล้ว ยังมีข้ออ้างที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อย่างแน่ชัด อาทิ ท้าให้หยิบถ่านหินคนละกิโลกรัมมาใส่ตู้ปลา อ้างว่าแม้น้ำจะเสียแต่ปลาไม่ตาย เมื่อเทียบกับน้ำจากโรงกุ้งหรือโรงปลา หรือการอ้างว่าถ่านหินบิทูมินัสที่นำเข้า คือถ่านดำที่ผู้สูงอายุเอามาฝนให้เด็กกินเป็นยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และพยายามเปรียบเทียบฝุ่นจากถ่านหิน กับฝุ่นจากถนนลูกรัง อ้างว่าเศษหินจากถนนลูกรังร้ายแรงกว่าฝุ่นละอองถ่านหินอีกด้วย

การต่อสู้ระหว่างชาวบ้านกับกลุ่มผู้ประกอบการถ่านหินเปรียบเสมือนภาพจำลองของการเมืองไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐ เอกชน และประชาชน หากการต่อสู้ยังมีสารพัดวิชา ทั้งระดับเทพและวิชามารออกมาเช่นนี้ น่าเป็นห่วงว่าความขัดแย้งในครั้งนี้อาจไม่มีทางจบลงในเร็ววัน และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ อาจจะเกิดสงครามและความรุนแรงขึ้นทั้ง “ชาวบ้านรบกับนายทุน” และ “ชาวบ้านรบกับชาวบ้าน” ด้วยกันเอง คล้ายกรณีโรงไฟฟ้าบ่อนอก-หินกรูด ที่ทำให้เกิดความแตกแยกและความสูญเสีย

ถึงตอนนั้น เราอาจจะไม่ได้อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ในแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป…



6 ความคิดเห็น เรื่อง “ชนะแค่ยกแรก ศึกถ่านหิน ‘นายทุน-ม็อบ’ รบกันอีกยาว”

  1. คนหมู่ 4ท่าทราย กล่าวว่า:

    ก.ค. 17, 11 at 1:00 am

    แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจาก รอคอยการขนข้าวของย้ายหนีถ่านหินงั้นหรือ?

  2. คนรักษ์ท่าจีน กล่าวว่า:

    ก.ค. 17, 11 at 12:03 pm

    อยากให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะทางโรงงาน ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงที่ชาวบ้านอย่างพวกผมยังไม่รู้จะดีกว่าครับ สิ่งที่ชาวบ้านอย่างพวกผมอยากทราบก็คือว่า
    ๑. ถ่านหินที่ว่านี้มีอนตรายอย่างไรเมื่อเข้าสู่กระบวนการผลิต คุณอาจบอกว่าตัวถ่านหินไม่มีอันตรายแต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตแล้วมีอันตรายหรือไม่อย่างไร?
    ๒. กระบวนการขนส่งทั้งทางเรือง ทางบก ก่อให้เกิดมลพิษหรือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไร
    แล้วจะจัดการอย่างไร
    ๓. ทำไมในพื้นที่สีเขียวถึงมีการก่อสร้างโรงงานแบบนี้ได้ ชาวบ้านต้องการคำตอบครับ?
    ๔.ฝุ่นถ่านหินที่ปลิวกระจายในรัศมีที่ตั้งโรงงานมีอันตรายหรือไม่อย่างไร โรงงานกล้ารับประกันหรือไม่่ว่าไม่มีอันตราย
    ๗.มีการศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)ก่อนตั้งโรงงานหรือไม่ ?
    ๘.ถ้ามีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่าป่วยจากพิษถ่านหิน คุณจะรับผิดชอบไหมครับ?

  3. คนรักษ์ท่าจีน กล่าวว่า:

    ก.ค. 17, 11 at 12:09 pm

    ฝุ่นถ่านหินที่ปลิวข้ามแม่น้ำมาทำให้ชาวบ้านเดือนร้อน มันคืผลกระทบจากอุตสาหกรรมของคุณใช้หรือไม่ หากคุณไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม เราขอต่อต้านอย่างถึงที่สุด
    เราจะขอความช่วยเหลือไปยัง NGOs, กรีนพีช และมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้มาศึกษา EIA วิถีชีวิตของเรากำลังเปลี่ยนแปลง ??? สมุทรสาครบอบช้ำจากอุตสาหรรมที่ไร้การควบคุมอย่างจริงจังมามากพอแล้ว
    เราต้องช่วยกันนะครับเพื่อลูกหลานของเราในอนาคตจะได้อยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี

  4. คนหมู่ 4ท่าทราย กล่าวว่า:

    ก.ค. 19, 11 at 3:26 am

    ถึง คุณรักษ์ท่าจีน ดิฉันรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งว่าอย่างน้อยข่าวบล็อคนี้ก็มีคนสนใจเข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่มีแค่ดิฉันคนเดียวที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นแบบชาวบ้าน แต่ยังมีคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงก่อให้เกิดความคิดต่อยอดที่ถามถึงผู้ประกอบการ ในการดำเนินกิจการต่อไป

  5. นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า:

    ก.ค. 25, 11 at 10:03 am

    1. ผมคิดว่าไม่ต้องขนของหนีถ่านหินหรอกครับ แต่เพียงเข้าไปพูดจากันให้ดีทั้งโรงงานถ่านหินและชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เพียงแค่ใช้ใจที่เป็นธรรม จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะตามหลักการแล้ว การมีพลังงานราคาถูกใช้ก็ดีสามารถทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น แต่การควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมก็ต้องทำควบคู่กันไป ดูอย่างอเมริกา จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เค้าก็ใช้กันทั้งนั้น
    2. ผมในฐานะนักวิชาการอิสระ ขอร่วมชี้แจงและแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับถ่านหินนะครับ
    1) ถ่านหินที่นำเข้ามาเพื่อใช้งานในจังหวัดสมุทรสาครหรือจังหวัดอื่นๆ น่าจะเป็นการนำเข้ามาเพื่อคัดขนาด ซึ่งไม่น่าจะเกิดอันตรายอะไร นอกจากเรื่องการฟุ้งกระจายจากการคัดแยก หากผู้ประกอบรายใดที่มีการจัดการโรงงานที่ดี จัดทำระบบปิด ไม่ให้ฟุ้งกระจายไปเดือดร้อนชาวบ้าน ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหา อีกทั้งถ่านหินยังเป็นวัสดุในเครื่องกรองน้ำด้วย
    2) กระบวนการจัดส่งถ่านหิน หากไม่เกิดการหล่น เลอะเทอะของเศษถ่านหิน ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหา ส่วนกุ้ง หอย ปู ปลา ก็ไม่น่าจะตายได้จากการที่เรือถ่านหินวิ่งผ่าน และถ่านหินก็ไม่ละลายน้ำ หากตกหล่นลงน้ำ น่าจะทำให้ตื้นเขิน มากกว่าจะทำให้น้ำเน่า ปลาตาย
    3) หน่วยงานราชการน่าจะร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมออกมาตรวจสอบการฟุ้งกระจาย ถ้าพบเห็นก็สั่งให้หยุดดำเนินการ ยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน เพราะในกฏหมายสิ่งแวดล้อมน่าจะมีระบุมาตรฐานของฝุ่นละอองที่เป็นมาตรฐานที่ยอมรับได้ หากโรงงานไหนผลตรวจเกินกว่ามาตรฐานก็สามารถสั่งปิดและยึดใบอนุญาต
    4)ผมว่าน่าจะทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับกิจกรรมที่เป็นข้อสงสัยของชาวบ้านให้กระจ่างชัด เห็นด้วยมากๆครับ
    5) ตามข้อมูลสถิติยังไม่พบผู้ป่วยจากพิษถ่านหินนะครับ แต่ผมจะลองไปค้นค้วาข้อมูลเพิ่มเติม หากได้ข้อมูลยังไงจะมาแบ่งปันอีกรอบนะครับ

  6. คนหมู่ 4 ท่าทราย กล่าวว่า:

    ก.ค. 31, 11 at 1:40 pm

    ขอพระคุณอย่างสูงสำหรับข้อมูลของคุณ นักวิชาการอิสระ ที่ทำให้ดิฉันได้ทราบข้อเท็จจริง เพิ่มขึ้น


แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง