ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง … คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้

การเสียชีวิตของนายกฯ ตุ่น หรืออุดร ไกรวัตนุสสรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งถูกยิงเผาขนที่ปั้มน้ำมัน ปตท.รุ่งสาคร ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร เมื่อบ่ายวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา กลายเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจให้แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังและรับรู้การตายของบุคคลที่ได้ขนานนามกันว่า “นายกฯ ตุ่น” และสะเทือนขวัญต่อน้องๆ ตระกูลไกรวัตนุสสรณ์ ที่ต้องสูญเสียพี่ชายที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญทางการเมืองไป

อันที่จริงตระกูลไกรวัตนุสสรณ์ จัดว่าเป็นครอบครัวทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลในจังหวัดสมุทรสาคร นับตั้งแต่ที่ “เฮียม้อ” มณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ เจ้าของธุรกิจประมงลงสนามการเมืองเมื่อปี 2535 ในนามพรรคความหวังใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งนับตั้งแต่เป็น ส.ส.ของพรรคความหวังใหม่ ต่อเนื่องมาถึงพรรคไทยรักไทยมา 4 สมัย ได้ผลักดันบุตรชายของตนถึงฝั่งทางการเมืองมาแล้วถึง 3 คน

สำหรับนายกฯ ตุ่น บุตรชายคนโตของเฮียม้อ ได้ผลักดันเข้าสู่แวดวงการเมืองท้องถิ่น ในตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่ปี 2547 ภายใต้การสนับสนุนและบารมีของบิดา รวมทั้งน้องชายหนุ่มหน้ามนคนมหาชัยนามว่า “ปลัดแต” อุดม ไกรวัตนุสสรณ์ ที่เคี่ยวกรำทางการเมืองจนผ่านประสบการณ์มาแล้ว 4 สมัย และมีฐานเสียงหนาแน่นในเขต อ.บ้านแพ้ว โดยสามารถเอาชนะ อัคคเดช สุวรรณชัย นายก อบจ.สมุทรสาครคนก่อน

การได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.สมุทรสาครของนายกฯ ตุ่นนั้น แม้ในสมัยแรกจะยังไม่มีผลงานเด่นชัดพอที่คนในจังหวัดจะนึกภาพออก แต่ผลจากการที่คนรอบข้างล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่คอยเสนอแนวคิดให้นายกฯ ตุ่นนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลจากการประชาสัมพันธ์ผลงานผ่านสื่อต่างๆ ในท้องถิ่นอย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้ในสมัยที่สอง ผลงานของนายอุดรเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ในวงการกีฬา นายกฯ ตุ่นลงขันก่อตั้ง สโมสรฟุตบอลสมุทรสาคร หรือ สมุทรสาคร เอฟ.ซี. หลังก่อนหน้านี้ อบจ.สมุทรสาครเคยให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลโรงงานยาสูบฯ ทั้งทุนทรัพย์และสนามเหย้า แต่ได้ย้ายไป จ.พิจิตร ด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่ผ่านมาจากการคุมทีมของ “สมศักดิ์ รอดทะยอย” ผู้จัดการทีมซึ่งเป็น ส.อบจ. คนใกล้ชิดนายอุดร รวมทั้ง “นราศักดิ์ บุญเกลี้ยง” หัวหน้าผู้ฝึกสอนทำผลงานได้ดี แม้จะเคยมีข่าวตีกันกับอ่างทอง เอฟ.ซี.ก็ตาม

หรือจะเป็นนโยบายด้านการศึกษา แนวคิดการสร้างห้องสมุดมีชีวิตถุกผุดขึ้นมาจากรองนายก อบจ.หนุ่มไฟแรงคนหนึ่ง นำมาซึ่งการสานต่อโดยนายกฯ ตุ่น ถึงขนาดลงทุนประสานผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เพื่อขอใช้พื้นที่ราชพัสดุหลังวิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร อย่างไรก็ตามแม้ตัวอาคารจะสร้างเสร็จแล้ว แต่ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างลงเป็นระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งภายหลังได้เกิดความร่วมมือจากหลายภาคส่วน จึงสามารถเปิดทดลองให้บริการได้ในวันนี้

อย่างไรก็ตาม ในทางการเมือง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองย่อมมีคนรักและคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา หากจะกล่าวถึงนายกฯ ตุ่นก็คงไม่ต่างไปจากบิดาอย่างเฮียม้อ และพี่น้องในตระกูลไกรวัตนุสสรณ์คนอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาคะแนนเสียงที่ได้รับมักมาจากฐานเสียงในตำบลรอบนอกของจังหวัด ส่วนในเขตเทศบาลฐานเสียงตกเป็นของพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมี “เอนก ทับสุวรรณ” ยึดกุมฐานเสียงไว้อยู่

หากจะกล่าวถึงเอนกแล้ว เขาเคยเป็น ส.ส.สมุทรสาครมาถึง 7 สมัย และได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จนกระทั่งถูกธนูจากเฮียม้อปักที่เข่า จากการลงสนามเล็กในเลือกตั้งนายก อบจ.สมุทรสาคร ปี 2551 แม้จะส่งบุตรชายอย่าง “ครรชิต ทับสุวรรณ” ไปถึงฝั่งฝันด้วยการเป็น ส.ส.สมุทรสาคร เมื่อปี 2550 ซึ่งได้อานิสงส์จากวิกฤตการเมืองระหว่างคนรักทักษิณกับฝ่ายต่อต้านก็ตาม

การที่นายครรชิตถูกศาลจังหวัดสมุทรสาครออกหมายจับ หลังการเสียชีวิตของนายกฯ ตุ่นผ่านไปเพียงช่วงข้ามคืน อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตระกูลทับสุวรรณ ที่ความคาดหวังจะให้บุตรชายสืบทอดบารมีทางการเมืองต่อจากรุ่นพ่อ คงเป็นเรื่องลำบาก ด้วยการที่ตำรวจตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากการให้ปากคำของชายชาวโคกขามวัย 38 ปี “ทองพูน พนาราบ” คนขับรถให้นายกฯ ตุ่นในวันเกิดเหตุ

หลังการเสียชีวิตของนายกฯ ตุ่นผ่นพ้นไป และนายครรชิตตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กระแสเลื่องลือถึงข้อสันนิษฐานต่างๆ ถูกนำมาบอกกล่าวเล่าความกันแบบปากต่อปาก และถกเถียงกันในระดับชาวบ้านร้านตลาดไปถึงตำรวจสอบสวน ทั้งประเด็นการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองเวลาออกงานเลี้ยงต่างๆ ซึ่งพฤติกรรมที่ผ่านมาของนายกฯ ตุ่น โดยเฉพาะฝีปากและการแสดงออกนับว่าแตกต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆ

ประเด็นการแย่งผลงาน และการทะเลาะกันผ่านเฟซบุ้คระหว่างทั้งสอง ถึงโครงการห้องสมุดมีชีวิต ยังถูกตั้งข้อสังเกตอีกด้วย แม้สังคมภายนอกไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกัน อีกทั้งค้นหาข้อความต้นเหตุก็ไม่พบ แต่ที่หนักหนาสาหัสกว่านั้น คือเรื่องชู้สาว ซึ่งเป็นข่าวปล่อยที่ทำเอาภรรยาอย่าง “คุณเทม” สุรัจจนา ไกรวัตนุสสรณ์ ต้องออกมายืนยันว่านายกฯ ตุ่นเป็นแฟมิลี่แมนตัวจริง และขอร้องว่าอย่าทำอย่างนี้อีก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นครอบครัวก็บอบช้ำมากพอแล้ว

แม้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะยังคงดำเนินต่อไป โดยที่ยังไม่รู้ว่าศาลจะตัดสินให้นายครรชิตมีความผิดจริงหรือไม่ แต่กระแสทั้ง “กองเชียร์-กองแช่ง” ของทั้งสองฝ่ายต่างได้พิพากษาความตายของนายกฯ ตุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของสังคมไทย ที่หากไม่ยินดีก็ยินร้าย แทนที่จะทำใจให้เป็นกลางหรือใจกว้าง ยอมรับความจริงของผู้อื่นบ้าง ซึ่งจัดว่าเป็นการขาดอุเบกขาอย่างหนึ่ง ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยกล่าวเอาไว้

นอกจากนี้ การทำคดีของตำรวจ ที่ประกอบด้วยตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ตำรวจภูธรภาค 7 และตำรวจกองปราบปรามที่ พล.ต.อ.เพียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ส่งมาหาข่าวและคุ้มกันพยาน ก็ถูกจับตามองชนิดที่ว่าทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของตระกูลไกรวัตนุสสรณ์ ที่ออกมากล่าวว่า ตำรวจบางรายที่สืบสวนสอบสวนคดีนี้ ถูกย้ายหรือตั้งมาในสมัยของรัฐบาลชุดเก่า คือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเกรงว่าจะมีการปิดบังหลักฐานบางอย่าง

ขณะที่ฝ่ายของผู้ต้องหาอย่างนายครรชิต พี่เลี้ยงที่พาเข้ามอบตัวอย่าง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ก็ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายตำรวจมีการตั้งคำถามแปลกๆ และมีความพยายามที่จะหาพยานหลักฐานจากผู้ที่ถูกกล่าวหา ซึ่งก็โต้แย้งว่าการเสาะหาพยานหลักฐานเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่มาสอบสวนเอากับนายครรชิต อีกทั้งในภายหลังยังออกมาท้าให้ตำรวจเปิดภาพจากกล้องซีซีทีวีในที่เกิดเหตุ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่านายครรชิตเป็นคนลือมือยิงจริงหรือไม่

สิ่งที่น่าจับตามองกันต่อไปหลังจากนี้ คือ การที่ ส.ส.ในสภาจะให้เอกสิทธิ์คุ้มครองนายครรชิตหรือไม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังฝ่ายตำรวจทำหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อ ส.ส.ในสภา เสียงส่วนใหญ่เป็นของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่นายครรชิต ซึ่งเป็น ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์จะเจอมติยกเว้นการใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองและถูกดำเนินคดี ต่างจากกรณีของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เคยถูกปกป้องกันเองในสภา

รวมไปถึงการดำเนินคดีของนายครรชิต ที่นายกสภาทนายความฯ สัก กอแสงเรือง ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าพนักงานสอบสวนทั้งกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร หาหลักฐานหลังออกหมายจับนายครรชิต แสดงว่าหลักฐานก่อนหน้านี้ไม่จริง ถือเป็นเป็นการผิดหลักการและเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล นำไปสู่การที่ศาลยกคำร้องการขออนุมัติหมายค้นบ้านนายครรชิตในที่สุด

ถ้าหากแนวทางการสอบสวนยังคงเป็นเช่นนี้ แม้ว่าฝ่ายผู้ตายอย่างตระกูลไกรวัตนุสสรณ์จะออกมายืนยัน และมีพยานคนสำคัญ คือคนขับรถให้การถึงผู้ที่ลงมือยิงนายกฯ ตุ่น แต่อาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คดีนี้ตัดสินออกมาค้านสายตาแก่ผู้พบเห็นก็เป็นได้ ไม่ต่างจากคำพูดที่ว่า เมื่อกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก และเมื่อกลัดกระดุมต่อไปทีละเม็ดด้วยความเชื่อว่าเรากลัดกระดุมถูกต้องแล้ว ผลที่ออกมาเมื่อกลัดกระดุมเสร็จสิ้น ก็ผิดทั้งหมด ชายเสื้อทั้งสองข้างไม่เท่ากัน

บทเรียนจากคดียิงนายกฯ ตุ่นในวันนี้ หลายฝ่ายมองว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ฉันใดก็ฉันนั้น หนึ่งคนต้องตายไปโดยไม่มีโอกาสได้ลงเลือกตั้ง เพื่อรักษตำแหน่งสมัยที่สามไว้ได้ อีกหนึ่งคนก็มีชีวิตราวกับตายทั้งเป็น เมื่อกลายผู้ต้องหาและถูกสังคมพิพากษา กลายเป็นตราบาปที่ทำให้อนาคตทางการเมือง ที่จะเดินตามรอยบิดาเป็นไปอย่างลำบากมากยิ่งขึ้น ถ้อยคำโวหารจากเรื่องลิลิตพระลอ เป็นสิ่งที่สอนใจแก่ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดีว่า

“ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บาปบุญแล้ ก่อเกื้อรักษา”



1 ความคิดเห็น เรื่อง “ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง … คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้”

  1. Montana pirom กล่าวว่า:

    ม.ค. 04, 12 at 9:13 am

    เสียใจ สงสารทั้งคนเสียชวิต และคนถูกกล่าวหา เราพี่น้องไทยรักกันเถอะ รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะภาคไหน ไหน ก็ไทยด้วยกัน เชื้อสายประเพณี ………….. สงสารลูกหลานบ้างเถอะ


แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง