หลังจากที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศให้นำเครื่องวิทยุคมนาคมที่ใช้ในอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก หรือ โดรน (Drone) ไปขึ้นทะเบียนภายใน 90 วัน หรือ ภายในวันที่ 9 ม.ค. 2561
วันนี้ (14 ต.ค.) นายบุญเลิศ โกมลหิรัญ หรือ “แมวดำ มหาชัย” ผู้สื่อข่าวไทยทีวีสี ช่อง 3 ประจำจังหวัดสมุทรสาคร ตัดสินใจนำโดรนพร้อมหลักฐานยื่นต่อ ร.ต.ท.ยุทธปวีร์ นวลพงศ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร เพื่อขอขึ้นทะเบียน
นายบุญเลิศ กล่าวว่า “ผลประกาศจาก กสทช. และวิทยุบังคับการบินพลเรือน ให้ผู้ที่มีโดรน ให้นำโดรนของตนเองไปขึ้นทะเบียน สำหรับตนเรื่องถูกต้องตามกฎหมายต้องรีบทำ เพราะเราเป็นคนของสังคม อย่าให้เขาต่อว่าเราได้ เวลาทำงานจะได้สบายใจ”
สำหรับการทะเบียนโดรน ไม่ว่าจะมีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม, น้ำหนักเกินกว่า 2 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 25 กิโลกรัม และน้ำหนักตั้งแต่ 25 กิโลกรัมขึ้นไป ต้องยื่นคำขอขึ้นทะเบียนโดรน พร้อมหลักฐาน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ได้แก่ แบบฟอร์มคำขอขึ้นทะเบียนโดรน (ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ กสทช.)
โดยให้แจ้ง ชื่อ-สกุล หมายเลขเครื่อง หรือ Serial Number ยี่ห้อของโดรน ภาพถ่ายของโดรนที่ลงทะเบียน พร้อมลงนามสำเนา บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมลงนามสำเนา ไปยื่นได้ที่ 3 หน่วยงานที่สะดวก พร้อมกับเครื่องโดรนตัวจริง ได้แก่
– สถานีตำรวจทุกแห่งทั่วประเทศ
– สำนักงาน กสทช. ถนนพหลโยธิน 8 (ซอยสายลม) เขตพญาไท กรุงเทพฯ รวมทั้ง สำนักงาน กสทช. ภาค และสำนักงาน กสทช. เขตทั่วประเทศ ในวันและเวลาราชการ 08.30-16.30 น. หมายเลขโทรศัพท์ 1200
– สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อาคารหลักสี่พลาซ่า ชั้น 3 (ฝ่ายออกใบอนุญาต รับเรื่องร้องเรียน ชำระค่าบริการ) ถนนกำแพงเพชร 6 หมายเลขโทรศัพท์ 0-2568-8800 หรือ 063-205-8800
ผู้ใดฝ่าฝืนใช้โดรนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ปัจจุบัน มีผู้ครอบครองโดรนมากกว่า 50,000 ลำ แต่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเพียง 350 ลำ หลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง ห่วงว่าผู้ไม่ประสงค์ดีจะนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
อย่างไรก็ตาม การประกาศลงทะเบียนโดรนของ กสทช. นั้น ยังคงเป็นไปด้วยความสับสน หลังจากออกข่าวเพียงวันเดียว เพราะสถานีตำรวจหลายแห่งยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ทำได้เพียงแค่รับเอกสารเอาไว้เท่านั้น
นอกจากนี้ หลังออกข่าวเพียงวันเดียว กสทช. กลับแถลงข่าวซ้ำอีกครั้งว่า ที่การลงทะเบียนโดรนตามที่เป็นข่าว เป็นการลงทะเบียนว่า “เป็นผู้ครอบครองโดรน” เท่านั้น
หากใครบังคับบิน ต้องไป “ลงทะเบียนขับขี่” ที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยด้วย หากลงทะเบียนครอบครองแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงทะเบียนขับขี่ จะยังไม่สามารถบังคับบินได้
กรณีหากไปลงทะเบียนกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน กสทช. เพราะสำนักงานการบินพลเรือนฯ จะส่งข้อมูลมาที่สำนักงาน กสทช.
เรื่องนี้ทำเอาเจ้าของโดรนหลายคนเกิดความไม่พอใจ ถึงการจัดระเบียบโดรนของ กสทช. ที่ “บอกไม่หมด” ทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับโดรน ทั้งการครอบครองและการขับขี่โดรนยุ่งยากขึ้นไปอีก
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ระบุว่า กสทช. กำลังร่างประกาศเพื่อควบคุมโดรน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเปิดรับความคิดเห็น คาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ได้ในราวเดือนธันวาคมนี้
แต่เนื่องจากในช่วงพระราชพิธีฯ จำเป็นต้องใช้ระเบียบนี้ก่อน จึงได้ประกาศเฉพาะออกมา เมื่อประกาศเสร็จสมบูรณ์พร้อมก็จะออกใช้มาแทนที่ระเบียบที่เพิ่งออกมาในทันที โดยมีโทษจำคุกและปรับเหมือนกัน
ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทยที่ออกมาจัดระเบียบโดรน
ก่อนหน้านี้ องค์การบริหารการบินสหรัฐอเมริกา (FAA) ได้เปิดให้ลงทะเบียนโดรนเมื่อต้นปี 2559 โดยมีใบอนุญาตเป็นเวลา 3 ปี หากใครไม่ลงทะเบียน แต่ยังนำโดรนออกมาใช้งานในสหรัฐฯ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 27,500 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 909,000 บาทไทย
ที่ผ่านมามีการจัดระเบียบโดรนหลายรูปแบบ ทั้งกำหนดเขตห้ามบินในรัศมี 9 กิโลเมตรในเขตการบิน รอบพื้นที่สนามบิน รวมทั้งในช่วงพระราชพิธีฯ ยังกำหนดพื้นที่ห้ามบินในรัศมี 19 กิโลเมตรจากพระบรมมหาราชวัง
สิ่งสำคัญที่สุดในการจัดระเบียบโดรน นอกจากจะต้องอำนวยความสะดวกให้ผู้ครอบครองโดรนแล้ว การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติ จะทำให้การจัดระเบียบเป็นไปอย่างสมชื่อ
เพราะคงไม่คุ้มกัน หากมีผู้ฝ่าฝืนแล้วทำให้เกิดความเสียหายหรือสูญเสีย.
– กิตตินันท์ นาคทอง –