‘เอกชัยสายเก่า’ มากกว่าทางเลี่ยงด่านชั่ง

เหตุการณ์ที่รถบรรทุกถ่านหินถูกคนร้ายลอบยิงบนทางหลวงชนบท สค 2055 หรือถนนเอกชัยสายเก่า รอยต่อระหว่าง จ.สมุทรสาคร กับ จ.สมุทรสงคราม แม้มองโดยผิวเผินจะเป็นคดีฆาตกรรมธรรมดา แต่เมื่อมองถึงประเด็นที่เคลือบแคลงสงสัยแล้ว อาจเป็นเรื่องใหญ่อันเกิดจากผลกระทบของชาวบ้านในพื้นที่ แม้จะไม่รู้ว่าใครคือคนร้าย และก่อเหตุด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม

กลางดึกของวันที่ 7 มี.ค.รอยต่อวันที่ 8 มี.ค. พ.ต.ท.วิชัย โพทุมทา สารวัตรเวรสอบสวน สภ.บางโทรัด อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ได้รับแจ้งว่าพบศพชายถูกยิงเสียชีวิต บริเวณถนนเอกชัยสายเก่า หมู่ที่ 6 ต.นาโคก อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร จึงรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุซึ่งเป็นพื้นที่เปลี่ยว พบรถบรรทุก 18 ล้อยี่ห้ออีซุซุ สีชมพู ทะเบียน 79-6184 และ 79-6185 กรุงเทพมหานคร บรรทุกถ่านหินเต็มคันรถพลิกคว่ำอยู่บริเวณข้างทาง ถ่านหินหกกระจัดกระจาย

ใกล้กันพบศพนายประเชิญ พานแพน อายุ 32 ปี ชาว จ.ขอนแก่น ถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ หัวกระสุนทะลุออกจำนวน 2 นัด เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้นายบุญมี ประเทพ อายุ 47 ปี ชาว จ.อำนาจเจริญ คนขับรถบรรทุกดินที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณขา ซึ่งจากการสอบปากคำพบว่าคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียน ได้เร่งเครื่องตามประกบรถบรรทุกก่อนชักปืนออกมากระหน่ำยิงไม่ยั้ง

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า รถบรรทุกคันดังกล่าว ได้บรรทุกถ่านหินจาก ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โดยใช้เส้นทางถนนเอกชัยสายเก่า จาก จ.สมุทรสงคราม เพื่อจะไปส่งให้กับบรรดาลูกค้าย่านบางมด กรุงเทพฯ พอมาถึงที่เกิดเหตุ ถูกคนร้ายรัวยิงนายประเชิญจนรถพลิกคว่ำและเสียชีวิต

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางโทรัด ได้ประชุมเพื่อแกะรอยหาตัวคนร้าย ซึ่งดูจากพฤติกรรมแล้วลักษณะทำไปด้วยความคึกคะนอง คล้ายกับคดีขว้างก้อนหินใส่กระจก และด้วยความหมั่นไส้ที่รถบรรทุกถ่านหินส่วนใหญ่ชอบหลบวิ่งเลี่ยงด่านชั่งน้ำหนัก โดยใช้เส้นทางนี้วิ่งไปตัดออกหลังวัดนาโคก ถนนเอกชัยสายเก่า ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุกันมากจนทำให้ถนนพัง เป็นไปได้ว่ามีคนเกิดความโมโห เลยก่อเหตุใช้ปืนยิงเข้าใส่รถบรรทุกก็เป็นได้

ส่วนประเด็นความขัดแย้งหรือขัดผลประโยชน์กันส่วนตัว หรือเป็นการปล้นชิงทรัพย์ พ.ต.อ.นภดล รุ่งสาคร ผกก.สภ.บางโทรัด เชื่อว่าไม่น่าจะมี เพราะทรัพย์สินผู้ตายยังอยู่ครบ

• ถนนโลกพระจันทร์ สวรรค์สิงห์รถบรรทุก

จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีรถบรรทุกนิยมใช้เส้นทางถนนเอกชัยสายเก่าสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นถนนที่ขนานกับถนนพระราม 2 และต้องการเลี่ยงด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 ซึ่งมีการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินบ่อยครั้ง ทำให้ถนนชำรุด และมีชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาเคยก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลต์คอนกรีตอย่างดี แต่เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้ไม่นานนักก็กลับมาชำรุดอีกครั้ง

เพื่อความแน่ใจ สาครออนไลน์จึงตัดสินใจลงพื้นที่ถนนเอกชัยสายเก่าด้วยตัวเอง เพื่อพิสูจน์สภาพถนนที่เกิดขึ้นตามคำบอกเล่าของชาวบ้าน โดยออกเดินทางในตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รถบรรทุกที่จะทยอยมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายกำหนดห้ามรถบรรทุกวิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน ระหว่างเวลา 6.00-22.00 น. และอย่างน้อยที่สุดเมื่อดูจากลักษณะทางกายภาพแล้วก็น่าจะมีประเด็นที่อาจกลายเป็นปมปัญหาก็เป็นได้

จุดเริ่มต้นที่เราสำรวจ คือ ปากทางเข้าถนนเอกชัยสายเก่า หรือ ทางหลวงชนบท สค 2005 ซึ่งอยู่บริเวณสะพานข้ามทางรถไฟสายแม่กลอง ห่างจากตัวเมืองสมุทรสาครประมาณ 18 กิโลเมตร โดยเมื่อถึงวัดกาหลงแล้วจะมีป้ายกลับรถใต้สะพาน เมื่อกลับรถตรงจุดนั้นแล้ว ทางซ้ายมือก่อนถึงทางเข้าถนนพระราม 2 จะเป็นปากทางของถนน ซึ่งเราพบว่ามีรถบรรทุก 18 ล้อ บรรทุกท่อนซุงขนาดยักษ์กำลังเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นดังกล่าว

เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้ว จากสภาพถนนพบว่าเป็นถนนลาดยาง ผิวแอสฟัลต์คอนกรีต ซึ่งคาดว่ามีอายุการใช้งานไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี พบว่าตลอดเส้นทางกลับมีหลุมมีบ่อ นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกวิ่งสัญจรผ่านไป-มาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งรถบรรทุกดิน รถบรรทุกถ่านหิน รถบรรทุกน้ำมันและของเหลว แม้แต่รถตู้คอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์ก็มี ซึ่งดูจากถนนและสะพานแล้วมีสภาพคับแคบ และแม้จะเคยมีการซ่อมแซมถนนมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีร่องรอยชำรุดเกิดขึ้นอีกครั้ง

หนักหนาสาหัสที่สุดก็คงจะเป็นพื้นที่หมู่ที่ 6 ต.นาโคก เพราะหลังจากที่เลยถนนช่วงที่ลาดยางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถนนกลับมีสภาพชำรุดหนักยิ่งขึ้น ถึงขั้นใต้ท้องรถยนต์ที่เราไปสำรวจเส้นทางกระแทกกับหลุมบนพื้นถนน นอกจากนี้เมื่อข้ามสะพานที่เราเชื่อว่าเป็นถนนเลียบคลองพรมแดน ระหว่างสมุทรสาครกับสมุทรสงคราม มองด้วยสายตาแล้วสภาพถนนคล้ายกับว่าชำรุดเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าเขตจังหวัดสมุทรสงคราม สภาพถนนกลับชำรุดน้อยลง

เที่ยวกลับเริ่มต้นจากจังหวัดสมุทรสงคราม ใช้เส้นทางถนนพระราม 2 เพื่อกลับสมุทรสาคร พบว่าบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 58-59 หน้าตลาดนัดบางแก้ว เขต จ.สมุทรสงคราม มีรถบรรทุกสิบล้อจอดบริเวณปากทางอยู่ 2-3 คัน ขณะที่เมื่อเข้าเขตจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อข้ามสะพานข้ามคลองพรมแดนแล้ว มีทางเข้าถนนเส้นเล็กๆ ซึ่งขนานไปกับคลอง ก่อนถึงด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 ไม่ถึง 200 เมตร คาดว่าเส้นทางนี้จะไปออกถนนเอกชัยสายเก่าตรงจุดที่เรากล่าวก่อนหน้านี้

• ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนผุพัง-กังขา “ส่วย” ทับซ้อน?

นอกจากสาครออนไลน์ลงพื้นที่ด้วยตัวเองแล้ว จากการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนที่มีผู้แจ้งเข้ามาถึงถนนเส้นดังกล่าว พบว่าที่เว็บไซต์กรมทางหลวงชนบทได้มีเรื่องร้องเรียนถึงทางหลวงชนบท สค 2055 สายนี้ ซึ่งมีข้อเท็จจริงบางอย่างที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2555 ที่ผ่านมา ผู้ใช้นามแฝง “เจริญสุข ศิลาพรศิลป์” ได้ส่งเรื่องร้องเรียนมายังกรมทางหลวงชนบท ดังนี้

“ตามที่มีการปรับปรุงทางหลวงสาย สค.2055 มาตลอดทำแล้วทำอีกจนกระทั่งผิวแอสฟัลท์ติกต้องมาจบลงด้วยหินลูกลัง จึงอยากเรียนให้ท่านช่วยตรวจสอบหน่วยงานทางหลวงจังหวัดสมุทรสาครให้เพิ่มความเข้มงวดกวดขันจับกุมรถบรรทุกพ่วงที่มีนำหนักจริงจังหน่อยเพราะจากที่เห็นแต่ละวันนานปีก็เห็นรถหนักวิ่งกันอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านวิ่งได้ตลอดพอถนนช่วงชำรุดทางหลวงก็เบิกงบซ่อมเป็นว่าเล่น (ซ่อมแล้วซ่อมอีก) ยอมรับสินบนให้ตัวเองแล้วเอางบประเทศมาใช้ก็ส่วนตัวก็เลยมีแต่ได้ไม่มีเสีย ทำผลงานอ่อน ตอนตั้งด่านชั่วคราวก็นั่งมองหน้ากับรถบรรทุกทำอะไรไม่ได้ จะจับก็จับไมได้สรุปต่างฝ่ายก็ต้องรอเวลาเลิกตั้ง ที่ขาพเจ้าแจ้งร้องเรียนมาที่นี้มีข้อมูลเพราะติดตามมาตลอด ต้องเอาจริง งบประมาณปรับปรุงถนน 9,955,000 บาทระยะทาง 2.7 กม.เมื่อ 5 กค.- 14 กย. 2554 ถ้าจะนำมาใช้ทำด่านถาวรขนาดเล็กก็ใช้งบไม่มากขนาดนี้จะไม่ตองมาซ่อมบ่อย ทุกที่ชาวบ้านรับคือ 1) อุบัติเหตุ 2) ฝุ่นเกิดจากการนำหินคลุกมากลบหลุมแล้วเกลี่ยพอรถบรรทุกวิ่งบังโคลนก็ลากฝ่นมาด้วยทุกวันทุกคันเข้าบ้านเข้ากิจการเสียหายอยู่เรือยๆ ฝากดูแลแก้ไขต้นเหตุเรื่องมันจะเหลือน้อย”

ต่อมากรมทางหลวงชนบทได้มีการตอบคำถามเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2555 ระบุข้อความดังต่อไปนี้

“เรียนผู้ใช้นามว่า”เจริญสุข ศิลาพรศิลป์” กรมทางหลวงชนบท โดยสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสมุทรสาคร เรียนชี้เเจงว่า จากกรณีที่รถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กำหนดได้วิ่งบนถนนทางหลวงชนบทจนถนนเกิดการชำรุดเสียหายนั้น ได้เข้าไปดำเนินการซ่อมเเซมผิวจราจรให้อยู่ในสภาพที่ประชาชนสามารถใช้เส้นทางสัญจรไปมาได้ตามปกติเเล้ว เเละได้จัดหน่วยชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่เข้าไปตั้งด่านสายทาง สค.2055 เเยกทางหลวงหมายเลข 35 – เมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เเล้ว เเละจากกรณีที่มีเจ้าหน้าที่รับสินบนนั้น สำนักงานฯ ได้ตรวจสอบเเล้ว ไม่มีการรับสินบนในการตั้งด่านเเต่อย่างใดทั้งสิ้น”

(ที่มา : http://mot-cms.mot.go.th/webboard/question_new.jsp?GID=21701&keyword=*)

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ในเว็บบอร์ด “ศูนย์ระฆังกรมทางหลวงชนบท” ก็มีผู้ใช้นามแฝง “charoensuk silapornsilp” ได้ตั้งกระทู้เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2554 ที่ผ่านมา หัวข้อ “แจ้งรถบรรทุกน้ำหนักเกิน” ระบุว่า “ทางหลวงชนบทเลขที่ สค 2055 แยก ทล.35 มีรถบรรทุกน้ำหนักเกินเข้ามาใช้ถนนเป็นจำนวนมากทุกวัน โดยเฉพาะเวลา 18.00 น. – 07.30 น. ถนนชำรุดเสียหายเพิ่งซ่อมได้ไม่ถึงเดือนก็พังเหมือนเดิมแล้ว เสียดายเงินภาษีของประชาชนมาก น่าจะมีมาตราการที่ไม่ให้รถบรรทุกน้ำหนักเกินเข้ามาวิ่ง พอถนนพังก็ไม่มีใครรับผิดชอบ และกว่าจะได้งบมาซ่อมถนนก็รอนาน เห็นใจผู้ใช้รถเล็กบ้าง”

ขณะที่กรมทางหลวงชนบทได้ตอบกลับเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2554 ระบุว่า สำนักงานทางหลวงชนบทสมุทรสาคร ขอเรียนชี้แจงว่า จากกรณีที่รถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กำหนดได้วิ่งบนถนนทางหลวงชนบทจนเกิดการชำรุดเสียหายนั้น ได้เข้าไปดำเนินการซ่อมแซมผิวจราจรให้อยู่ในสภาพที่ประชาชนสามารถใช้เส้นทางสัญจรไป-มาได้ตามปกติแล้ว และได้จัดหน่วยชุดตั้งด่านชั่งน้ำหนักเคลื่นที่เข้าไปประจำในสายทาง สค.2055 แยกทางหลวงหมายเลข 35 – เมืองสมุทรสงคราม อ.เมือง จ.สมุทรสาครแล้ว

ซึ่งจากกรณีที่รถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กำหนดนั้น สำนักงานทางหลวงชนบทสมุทรสาครได้มีหนังสือแจ้งขอความร่วมมือจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ในการกวดขันดูแล ห้ามไม่ให้รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่ได้กำหนดวิ่งผ่านบนถนนทางหลวงชนบทด้วยแล้ว และขอขอบคุณที่ท่านได้แจ้งข่าวสารมาให้ทราบ ณ โอกาสนี้

(ที่มา : http://www.drr.go.th/bell/index.php?topic=825.0)

อีกระทู้หนึ่ง ผู้ใช้นามแฝง “charoensuk silapornsilp” ได้ตั้งกระทู้เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2554 ที่ผ่านมา หัวข้อ “ขอแจ้งความเห็นการปรับปรุงซ่อมแซมถนน” ระบุว่า “ตามที่มีการซ่อมผิวจราจรสาย สค.2055 แล้วเสร็จผู้ใช้รถวิ่งสบายได้ประมาน 3 กม.ที่เหลืออีก 5 กม.ไม่เป็นคลื่นก็เป็นหลุม จากระยะทางรวม 8 กม.จนถึงเขตรับผิดชอบของทางหลวงสมุทรสงคราม ก่อนงานปรับปรุงครั้งนี้ได้มีการปรับปรุงซ่อมช่วงประมาณ กม.4 – กม.8 มาแล้วใช้งานได้ 15 วัน ก็เกิดหลุมหลายหลุม ข้าพเจ้าขอลงความเห็นว่าเกิดจากรถบรรทุกพ่วงหลีกเลี่ยงด่านช่างของสมุทรสงคราม เข้าบางแก้วผ่านลาดใหญ่ รถมีน้ำหนักถนนจึงเสียหาย แต่มิใช่เหตุที่ทางหลวงชนบทสมุทรสาครทำไม่ดี

จึงอยากวิงวอนให้ท่านช่วยเร่งรัดจับกุมรถบรรทุกที่ทำผิดกฎหมาย จากที่มีการตั้งด่านจับก็ขอให้จับจริงอย่าปล่อยและอย่าแจ้งเตือน เพราะว่าผลที่ได้ประชาชนก็จะดูจากถนน เพราะว่าถนนสายนี้ก็มีความสำคัญเนื่องจากเป็นเส้นทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว สุดท้ายขอเพิ่มเติมว่าแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตั้งด่านจับไม่สำเร็จขอท่านช่วยเพิ่มเวลาที่รถลักลอบวิ่ง หลัง 17.00 น. – 08.00 น.ของวันถัดไปและวันอาทิตย์วิ่งเต็มวันวัดผลจากแรงสั่นสะเทือนของอาคารเห็นได้ชัด ข้าพเจ้าขอยืนยันข้อมูลที่ได้แจ้งหรือลงความเห็นนี้เป็นความจริง เพราะข้าพเจ้าอยากสนับสนุนเรื่องของประโยชน์ที่ท่านให้กับประชาชน (เพื่อการสัญจรไปมาสะดวก-ปลอดภัย) แต่เวลานี้กลับตรงกันข้าม ขอความกรุณาเน้นท่านจับจริง”

กรมทางหลวงชนบทได้ตอบกลับเมื่อวันที่ 6 ก.ย.2554 ระบุว่า “สำนักงานทางหลวงชนบทสมุทรสาคร ขอเรียนชี้แจงว่า จากกรณีที่รถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กำหนดได้วิ่งบนถนนทางหลวงชนบท ได้จัดหน่วยชุดตั้งด่านชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่เข้าไปประจำในสายทาง สค.2055 แยกทางหลวงหมายเลข 35 – เมืองสมุทรสงคราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร แล้ว และสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสมุทรสาครได้มีหนังสือแจ้งขอความร่วมมือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ในการกวดขันดูแล ห้ามไม่ให้รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่ได้กำหนดวิ่งผ่านบนถนนทางหลวงชนบทด้วยแล้ว และขอขอบคุณที่ท่านได้แจ้งข่าวสารมาให้ทราบ ณ โอกาสนี้”

(ที่มา : http://www.drr.go.th/bell/index.php?topic=828.0)

• ไม่ใช่ทางหนีด่านธรรมดา หรือเป็นช่องทางลำเลียง “สิ่งผิดกฎหมาย” ?

จากการลงพื้นที่ของสาครออนไลน์ และการติดตามเรื่องร้องเรียนจึงได้ข้อสรุปว่า ถนนเอกชัยสายเก่า กลายเป็นเส้นทางเลี่ยงด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 ของบรรดาสิงห์รถบรรทุก โดยใช้เส้นทางจากถนนพระราม 2 เลี้ยวซ้ายที่ตลาดบางแก้ว ต.บางแก้ว อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม ไปตามทางหลวงชนบท สค 2006 (ตอนสมุทรสงคราม) ก่อนจะเลี้ยวขวาเข้าถนนเอกชัยสายเก่าที่สี่แยกลาดใหญ่ มุ่งหน้าไปทางจังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้ช่วงเวลาเย็นถึงเช้าวันรุ่งขึ้นในการสัญจร

เมื่อเปรียบเทียบเส้นทางจากจุดตลาดนัดบางแก้ว ถึงจุดสิ้นสุดถนนเอกชัยสายเก่า ตรงข้ามวัดกาหลง หากตรงไปตามถนนพระราม 2 จะมีระยะทาง 11.5 กิโลเมตร แต่เสี่ยงที่ด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 ที่มักจะส่องไฟเรียกรถบรรทุกเข้าตรวจชั่งน้ำหนัก ขณะที่เมื่อเลี้ยวซ้ายจากตลาดบางแก้วก่อนไปตามถนนเอกชัยสายเก่า พบว่ามีระยะทาง 13.7 กิโลเมตร และหากตรงไปตามถนนพระราม 2 แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนเลียบคลองพรมแดน พบว่าจะมีระยะทาง 14.4 กิโลเมตร

เหตุผลที่บรรดาสิงห์รถบรรทุกแห่แหนกันใช้เส้นทางนี้ หากจะบอกว่าเหตุผลเพราะต้องการเลี่ยงด่านชั่งนั้นก็คงเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เมื่อเดือนธันวาคม 2554 ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2554 นายกิตติชัย ตันประเสริฐ รองนายก อบต.บางแก้ว อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม และผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิริไพูลย์พัฒนาการ ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ใน จ.สมุทรสงคราม ในฐานะแกนนำผู้ประกอบการรถบรรทุกรวมตัวกัน นำรถบรรทุก 18 ล้อเกือบ 100 คัน จอดเข้าไปที่ช่องจราจรเลนซ้ายและเลนกลาง

พวกเขาประท้วงนายยงนริศ เลิศศิริจิต นายช่างโยธาอาวุโส ในฐานะหัวหน้าสถานีตรวจสอบน้ำหนักสมุทรสาครขาเข้า ที่จับกุมรถบรรทุกแล้วอ้างว่าบรรทุกน้ำหนักเกิน ส่งผลทำให้การจราจรติดขัด กระทั่ง พล.ต.ต.สมเกียรติ แสงสินศร ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร และนายไพศาล สำราญทรัพย์ ปลัดจังหวัดสมุทรสาคร (ณ เวลานั้น) ได้เดินทางมาเจรจากลุ่มผู้ประท้วง โดยรับปากว่าจะประสานผู้บังคับบัญชาของด่านชั่งน้ำหนักให้ย้ายนายยงนริศ

ผลจากการเอาจริงเอาจังของด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 แน่นอนว่าบรรดาสิงห์รถบรรทุก ย่อมที่จะหาทางเลี่ยงโดยใช้เส้นทางนี้ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องถูกด่านชั่งน้ำหนักเพ่งเล็ง ขณะเดียวกันถนนเอกชัยสายเก่าเส้นนี้ก็มีสภาพชำรุดทรุดโทรมอยู่เรื่อย เพราะแต่เดิมถนนเส้นนี้อยู่ในพื้นที่นากุ้งนาเกลือ และเปรียบเป็นถนนทางเข้าหมู่บ้านธรรมดา พอมาเจอรถบรรทุกเข้ามาสัญจรเช่นนี้มากขึ้น และมีารบรรทุกน้ำหนักเกินอยู่ด้วย ก็เป็นเรื่องลำบากที่จะกวดขันจับกุม

ไม่นับรวมการขนสิ่งของผิดกฎหมาย เช่น แรงงานต่างด้าว ยาเสพติด อาวุธสงครามต่างๆ หากถนนเส้นหลักอย่างพระราม 2 มีตำรวจทางหลวงหรือตำรวจปราบปรามเพ่งเล็งเอามากๆ ก็ย่อมใช้เส้นทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม ผลก็คือนอกจากปัญหาอาชญากรรมจะเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นช่องโหว่ในการสกัดจับหรือกวดขันต่างๆ และหากปล่อยไว้เรื้อรังจะเป็นภัยต่อความมั่นคงได้ เพราะอย่าลืมว่าถนนเส้นนี้ใกล้อาคารพาณิชย์ย่านวัดกาหลง ที่ตำรวจเข้าไปทลายสารตั้งต้นผลิตวัตถุระเบิดของขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติฮิซบอลเลาะห์ ชาวเลบานอน ซึ่งเช่าสถานที่เก็บสารตั้งต้นมาแล้ว

คงต้องดูกันต่อไปว่า หลังจากวันนี้ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมทางหลวงชนบท และตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร จะเห็นเส้นทางสายนี้อยู่ในสายตาหรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าอยู่นอกเขตอำนาจควบคุมของตำรวจทางหลวง ซึ่งถนนสายหลักเฉกเช่นถนนพระราม 2 จะได้รับการจับตามองที่ดีกว่า อย่างน้อยบทเรียนจากคดียิงคนขับรถบรรทุกบนถนนเส้นเล็กๆ เส้นนี้ เมื่อได้ขบคิดและแกะรอยออกมาแล้ว ก็คงจะมีอะไรที่แฝงเร้นซ่อนอยู่อีกมาก และเมื่อเป็นเช่นนี้อาจไม่ใช่ถนนในหมู่บ้านธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว.

• • •

กว่าจะเป็น “ถนนเอกชัยสายเก่า”

 

ถนนเอกชัยสายเก่า หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3092 (สมุทรสงคราม-ต่อแขวงการทางธนบุรี) เริ่มต้นจากสามแยกหน้าเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม สิ้นสุดที่คลองพรมแดน ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม ระยะทางประมาณ 9.5 กิโลเมตร ก่อนหน้านี้เป็นถนนลาดยางขนาด 2 ช่องจราจร เป็นเส้นทางคมนาคมของประชาชนในพื้นที่ ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม แต่สภาพถนนหลังข้ามฝั่งจังหวัดสมุทรสาครไปแล้วจะเป็นถนนลูกรัง

ปี 2540 กรมทางหลวงทำการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3092 ระหว่างสมุทรสงคราม-ต่อแขวงการทางธนบุรี โดยใช้เงินที่โอนมาจากเงินงบประมาณปี 2540 ที่ผ่านมาจำนวน 58,700,000 บาท เนื่องจากประชาชนและผู้ใช้เส้นทางในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก แต่พบว่างบประมาณดังกล่าวสามารถสร้างสะพาน รางระบายน้ำ ทางเท้า และคันทางได้เท่านั้น กลางปี 2541 ศูนย์สร้างทางกาญจนบุรีได้เสนอของบประมาณจากกรมทางหลวงจำนวน 35,200,000 บาทเพิ่มเติม กระทั่งถนนได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ

ปี 2543 คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจ จ.สมุทรสงคราม (กรอ.จ.สมุทรสงคราม) เสนอเปลี่ยนชื่อถนนเอกชัย ในส่วนจังหวัดสมุทรสงครามเป็นถนนอิน-จัน เพื่อป้องกันความสับสน เนื่องจากชื่อถนนเอกชัยก่อความสับสนแก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจังหวัดสมุทรสงคราม เนื่องจากมีถนนชื่อถนนเอกชัย ปรากฏอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม และกรุงเทพฯ โดยเห็นว่าผ่านสถานที่ตั้ง อนุสรณ์สถานแผดสยาม อิน-จัน ซึ่งเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของ จ.สมุทรสงคราม ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางยิ่งขึ้น

ทาง กรอ.จังหวัดสมุทรสงคราม ได้นำเรื่องนี้เสนอให้ทางเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม นำไปดำเนินการด้วยการเปลี่ยนชื่อถนน ตรอก ซอย ต่างๆ ของถนนเอกชัย ภายหลังสภาเทศบาลเมืองสมุทรสงครามไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อถนนเอกชัยเป็นถนนอิน-จัน เนื่องจากการเปลี่ยนชื่อถนนดังกล่าว จะก่อให้เกืดความยุ่งยาก โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับเอกสารทะเบียนราษฎร หากมีการเปลี่ยนแปลงจะวุ่นวายมาก ภายหลังการเปลี่ยนชื่อถนนจึงไม่ประสบความสำเร็จ และประชาชนยังเรียกติดปากว่าถนนเอกชัยเหมือนเดิม

ปี 2548 กรมทางหลวงได้โอนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3092 ช่วงสมุทรสงคราม – ต่อเขตทางหลวงชนบท กิโลเมตรที่ 2+000 ถึง 9+550 รวมระยะทาง 7.55 กิโลเมตร ให้กับกรมทางหลวงชนบทเป็นผู้ดูแล คงเหลือแต่กิโลเมตรที่ 0 ถึง 2+000 สำนักงานบำรุงทางสมุทรสงครามและราชบุรีส่วนที่ 2 สำนักทางหลวงที่ 13 (ประจวบคีรีขันธ์) กรมทางหลวงเป็นผู้ดูแล

อีกด้านหนึ่ง องค์การบริหรส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ได้ก่อสร้างถนนจากสะพานข้ามคลองพรมแดน ถึงปากทางถนนพระราม 2 จากถนนลูกรังแต่เดิม เป็นถนนลาดยางตลอดสาย แต่สภาพสองข้างทางเป็นที่เปลี่ยว เต็มไปด้วยนากุ้งและนาเกลือ ก่อนที่เส้นทางนี้จะเป็นที่ยอมรับแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในเวลาต่อมา โดยเฉพาะรถบรรทุก รถขนส่งน้ำมัน และรถคอนเทนเนอร์ เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงด่านชั่งน้ำหนักพระราม 2 โดยส่วนใหญ่จากถนนพระราม 2 จะเลี้ยวซ้ายที่ตลาดบางแก้ว เพื่อไปออกขวาเข้าถนนเอกชัยที่สี่แยกลาดใหญ่

ต่อมากรมทางหลวงชนบทได้ผนวกสายทางเป็นทงหลวงชนบท สค 2055 (แยกทางหลวงหมายเลข 35 กม.46+300 – เมืองสมุทรสงคราม) รวมระยะทาง 15.456 กิโลเมตร แบ่งเป็นสองช่วง คือ ตอนสมุทรสาคร ช่วงปากทางถนนพระราม 2 ต.กาหลง อ.เมืองฯ ถึงสะพานข้ามคลองพรมแดน หมู่ 6 ต.นาโคก อ.เมืองฯ ระยะทาง 7.906 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดสมุทรสาคร

ส่วนตอนสมุทรสงคราม ตั้งแต่เชิงสะพานข้ามคลองพรมแดน บ้านเขตเมือง หมู่ 10 ถึงเขตทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3092 กิโลเมตรที่ 2 บริเวณหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดสมุทรสงคราม หมู่ 3 ต.ลาดใหญ่ อ.เมืองฯ จ.สมุทรสงคราม ระยะทาง 7.550 กิโลเมตร อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักทางหลวงชนบทจังหวัดสมุทรสงคราม โดยช่วงหนึ่งมีถนนขนาด 6 ช่องจราจรที่กรมทางหลวงสร้างไว้อยู่เดิมประมาณ 1 กิโลเมตร



1 ความคิดเห็น เรื่อง “‘เอกชัยสายเก่า’ มากกว่าทางเลี่ยงด่านชั่ง”

  1. ถนนไร้ฝุ่น กล่าวว่า:

    เม.ย. 02, 12 at 7:43 am

    น่าเห็นใจข้าราชการดีๆ  ที่ทำงานตามหน้าที่ต้องมาโดนย้าย…เพราะพวกระเมิดกฎหมาย


แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง