ในที่สุดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 ก.พ. นี้ ก็ได้เห็นหน้าคาดตาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในคราวนี้แล้ว ซึ่งพบว่าเป็นการแข่งขันระหว่างสองพรรคใหญ่ ได้แก่ พรรคเพื่อไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา

โดยพรรคเพื่อไทย ตระกูลไกรวัฒนุสสรณ์เจ้าของพื้นที่วางตัวผู้สมัครตามคาด โดย “ต่อ-อนุสรณ์ ไกรวัฒนุสสรณ์” ลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 1 “กำนันหลอ-บุญชู นิลถนอม” ลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 2 และ “ปลัดแต-อุดม ไกรวัฒนุสสรณ์” ลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 3

ทั้งสามคนเดินทางมาสมัครเมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 56 ที่ผ่านมา โดยมี “เฮียม้อ-มณฑล ไกรวัฒนุสสรณ์” บรรดาเครือญาติ และผู้สนับสนุน รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจ หลังก่อนหน้านี้กลุ่ม กปปส. สมุทรสาคร เคลื่อนไหวรณรงค์ปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ หลังการประชุมใหญ่ของพรรคไปเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 56 มีมติเป็นเอกฉันท์จะไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. นี้แน่นอน เท่ากับว่าเราจะไม่ได้เห็นทั้ง ครรชิต ทับสุวรรณ, น.ต.สุธรรม ระหงษ์ และ นิติรัฐ สุนทรวร ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้

ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 56 สนธิญา สวัสดี อดีตคณะทำงานยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดสมุทรสาคร เดินทางมาสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยขึ้นป้ายหาเสียงเปิดตัวไปแล้ว

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ วันที่ 1 ม.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร ปรากฎว่า มีผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนามาสมัครเพิ่มเติมอีก 2 คน ได้แก่ ยศวรรธน์ เสนะ เขตเลือกตั้งที่ 2 และ ชนะ เข่งขยัน เขตเลือกตั้งที่ 3

นายยศวรรธน์เป็นเจ้าของร้านอาหารครัวต้นกล้วย ย่านถนนพุทธมณฑลสาย 4 ส่วนนายชนะ เป็นอดีตนายก อบต.ท่าเสา อายุ 49 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งกำนันตำบลท่าเสา ก่อนจะมาเป็นนายก อบต.ท่าเสา

การที่นายยศวรรธน์และนายชนะ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมี บรรหาร ศิลปะอาชา เป็นแกนนำพรรค เที่ยวนี้ แม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด แต่กลับส่งผลดีต่อนายบุญชู และนายอุดม ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยเกินคาด

เพราะไม่ต้องเจอกฎเหล็ก ถ้ามีผู้สมัครพรรคเดียว ต้องแข่งกับผู้ที่กากบาทในช่อง “โนโหวต” หรือ ไม่ประสงค์ลงคะแนน ซึ่งต้องมีคนลงคะแนนให้มากกว่าร้อยละ 20 จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แม้จะมีผู้มาใช้สิทธิ์มากกว่าแต่ถ้าคะแนนโนโหวตมากกว่าก็จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง

เท่ากับว่า ต่อให้มีคะแนนโนโหวตมากมายมหาศาล แต่หากมีผู้สมัครแข่งขันอีกรายหนึ่ง ถือว่ามีคู่แข่ง ยังไงๆ คนที่ได้คะแนนมากที่สุดก็ได้เป็น ส.ส. อยู่ดี โดยไม่ต้องสนใจคะแนนโนโหวตซึ่งจะมากหรือน้อยกว่าคนที่ได้คะแนนมากที่สุด

ย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 2549 พรรคไทยรักไทยส่งนายอนุสรณ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้คะแนน 30,125 ส่วนคะแนนโนโหวต อยู่ที่ 32,471 คะแนน แพ้แบบเฉียดฉิว 2,346 คะแนน ไม่รวมบัตรเสียอีก 6,009 คะแนน

ศุภพรพงศ์ ชวนบุญ เขตเลือกตั้งที่ 2 ซึ่งเป็นคนของ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มวังน้ำยม หรือกลุ่มมัชฌิมา ได้คะแนน 40,478 คะแนน โนโหวต 33,328 คะแนน ชนะห่างกัน 7,150 คะแนน บัตรเสีย 7,413 คะแนน

ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 3 ขณะนั้นนายอุดม ถูก กกต. เพิกถอนสิทธิ์ เนื่องจากไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยจึงส่ง สมนึก โพธิ์ทะเล ทนายความคนสนิทของนายมณฑล ลงสมัครในเขต อ.บ้านแพ้วแทน

ปรากฎว่าเขตเลือกตั้งที่ 3 ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ถึง 2 ครั้ง เพราะโนโหวตชนะ โดยครั้งแรกแรกไค้คะแนน 28,845 คะแนน โนโหวต 29,521 คะแนน บัตรเสีย 9,600 คะแนน ครั้งที่ 2 ได้คะแนน 20,670 คะแนน โนโหวต 19,631 คะแนน บัตรเสีย 5,400 คะแนน

การที่ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย โดยตระกูลไกรวัฒนุสสรณ์มีคู่แข่งจากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครโนเนมในสนามระดับประเทศ แน่นอนว่าตระกูลไกรวัฒนุสสรณ์แทบจะชนะยกจังหวัดแบบไม่ต้องลุ้นให้ตื่นเต้นกันเล่นๆ

มองอีกด้านหนึ่ง ก็กลายเป็นการดัดหลังฝ่ายที่ต้องการโนโหวตไปโดยปริยาย โดยเฉพาะกลุ่ม กปปส.สมุทรสาคร กลุ่มฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งคาดว่าจะใช้การโหวตโนในการรณรงค์ปฏิรูปการเมืองครั้งนี้

คงต้องดูกันต่อไปว่า กลยุทธ์ในการรณรงค์ของกลุ่ม กปปส. สมุทรสาครจะดำเนินไปในทิศทางใด เพราะการโหวตโนในรอบนี้ใช้ไม่ได้ หรือหากใช้ได้ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลอีกต่อไปแล้ว ขณะที่การเคลื่อนไหวของ กปปส. สมุทรสาคร น่าเป็นห่วงว่าไม่ได้เข้มข้นเหมือนจังหวัดอื่นๆ

• กิตตินันท์ นาคทอง •