“สุธรรม” ประมาท “โหวตโน?”

บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้แทนของคนสมุทรสาครเพียงไม่กี่คน ที่มีภาพลักษณ์สง่างามเฉกเช่น “นาวาตรีสุธรรม ระหงษ์” ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมในการเลือกตั้ง ส.ส.เที่ยวนี้ อดีต ส.ส. 2 สมัยถึงพลาดเก้าอี้ ส.ส.สมัยที่ 3 ถูกผู้สมัครหน้าใหม่อย่าง อดีต ส.จ. “กำนันหลอ-บุญชู นิลถนอม” จากพรรคเพื่อไทยคว้าตำแหน่งไปได้

อันที่จริงนาวาตรีสุธรรมเคยพลาดเก้าอี้ ส.ส.สมุทรสาครในการเลือกตั้งปี 2548 โดยแพ้ให้กับ “ศุภพรพงศ์ ชวนบุญ” ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทย ช่วงนั้นนาวาตรีสุธรรมเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์อิสระสาคร หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นประจำจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อกลางปี 2548 ว่า ช่วงที่ห่างหายไปนั้นตนได้หันไปทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

กระทั่งวิกฤตทางการเมืองผ่านพ้นไปจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาถึงการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นาวาตรีสุธรรมชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง ในระบบเขตเดียวเรียงเบอร์ พร้อมกับ ครรชิต ทับสุวรรณ บุตรชายของเอนก ทับสุวรรณ ส่วนพรรคพลังประชาชน มีเฉพาะ “เฮียม้อ-มณฑล ไกรวัตนุสสรณ์” ก่อนจะเป็นพรรคเพื่อไทยในภายหลัง

อาจเรียกได้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่านาวาตรีสุธรรมจะสำเร็จหรือล้มเหลวในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ปัจจัยสำคัญก็คือ “กระแสพรรคประชาธิปัตย์” ไม่ว่าขาขึ้นที่หนุนส่งให้นาวาตรีสุธรรมชนะได้ไม่ยาก ในทางกลับกันหากกระแสพรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำลง หรือกระแสพรรคฝ่ายตรงข้ามกำลังมาแรง ก็ฉุดให้นาวาตรีสุธรรมต้องสอบตกไปด้วย

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปัจจัยที่กระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ก็คือ คะแนนนิยมในตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ซึ่งจากการบริหารประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ใช่ว่าจะราบรื่นนัก จากปัญหาวิกฤตทางการเมืองในปี 2552 และ 2553 ปัญหาข้าวยากหมากแพง และพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล

นอกจากกลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยจะไม่พอใจแล้ว กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ออกมาขับไล่นายอภิสิทธิ์เช่นกัน จากประเด็นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว กระทั่งได้ออกมารณรงค์ให้ประชาชนกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน เพื่อเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปการเมือง

ก่อนหน้านี้ ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ส่วนหนึ่งมาจากผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ในการเลือกตั้งปี 2549 ได้ลงคะแนนโนโหวตเพื่อประท้วงพรรคไทยรักไทยมากกว่า 10 ล้านเสียง และในปี 2550 ต่างเทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์เอาชนะการเลือกตั้งในกรุงเทพมหานครหลายเขต อานิสงส์ดังกล่าวมาถึงจังหวัดปริมณฑลอย่างสมุทรสาคร ที่ทำให้ได้ ส.ส.มากถึง 2 คน

การรณรงค์โหวตโนของกลุ่มพันธมิตรฯ แน่นอนว่าย่อมส่งผลไปถึงคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทำให้บรรดาผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาโจมตี และกล่าวหาว่ากลุ่มพันธมิตรฯ รับเงินจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง ฝ่ายที่เคยขับไล่ทักษิณเป็นไปไม่ได้ที่จะคืนดีง่ายดายขนาดนั้น

เพราะแนวคิดของกลุ่มพันธมิตรฯ คือไม่ว่าเลือกใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็แพ้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยอมจำนนเป็นฝ่ายค้านในสภา คะแนนโหวตโนมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นอำนาจต่อรองกับพรรคที่ได้เสียงข้างมาก และเป็นพลังกดดันนักการเมืองให้เกิดการปฏิรูปการเมือง รวมทั้งสั่งสอนนักการเมืองทุกคนให้รู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง

เมื่อดูคะแนนผลเลือกตั้ง ส.ส.อย่างไม่เป็นทางการ จากสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนแนล ซึ่งนับคะแนนไปแล้ว 98% พบว่าในจังหวัดสมุทรสาคร เขตเลือกตั้งที่ 1 มีประชาชนโหวตโน 4,831 คะแนน ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 2 มีประชาชนโหวตโน 3,792 คะแนน และเขตเลือกตั้งที่ 3 มีประชาชนโหวตโน 3,401 คะแนน

แม้คะแนนโหวตโนจะไม่มีผลกระทบต่อผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ในเขตเลือกตั้งที่ 1 มหาชัย และเขต 3 บ้านแพ้ว แต่ในส่วนของเขตเลือกตั้งที่ 2 กระทุ่มแบน-อ้อมน้อย เสียงที่หายไป 3,792 คะแนน หากรวมกับคะแนนของนาวาตรีสุธรรมที่ได้ 40,188 คะแนน ก็จะชนะกำนันหลอในที่สุด จึงเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าคะแนนโหวตโนจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ

กิตตินันท์ นาคทอง ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สาครออนไลน์ ปัจจุบันเป็นผู้สื่อข่าวการเมืองของเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ในฐานะเป็นคนที่เคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2549 เปิดเผยกับเว็บไซต์สาครออนไลน์ในคืนวันเลือกตั้งว่า แม้ตนจะรู้สึกเสียดายที่นาวาตรีสุธรรมพลาดโอกาสได้เป็น ส.ส. แต่ไม่เสียใจที่ตนลงคะแนนโหวตโน ถือว่าได้ทำหน้าที่ผู้ใช้สิทธิ์อย่างดีที่สุดแล้ว

ทั้งนี้เห็นว่า โดยส่วนตัวรู้สึกชื่นชมนาวาตรีสุธรรมมาโดยตลอด เพราะเป็นผู้แทนที่มีภาพลักษณ์สง่างาม อัธยาศัยดี และทำหน้าที่เป็น ส.ส.ได้ดี เมื่อเทียบกับ ส.ส.สมุทรสาครคนอื่นๆ แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จำเป็นที่จะต้องโหวตโน นอกจากเพราะต้องช่วยเหลือกัน ตามอุดมการณ์ของกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว ก็คาดหวังว่าคะแนนโหวตโนจะเป็นพลังสำหรับการเมืองนอกสภา กดดันรัฐบาลให้ต้องเคารพในเสียงอีกฟากหนึ่งด้วย แทนที่จะลงคะแนนให้ฝ่ายค้านซึ่งมองว่าเสียของมากกว่า

อย่างไรก็ตาม การที่ประชาชนลงคะแนนโหวตโน เป็นการแสดงความไม่พอใจนักการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่เป็นรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง เมื่อนาวาตรีสุธรรมยังสลัดภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ ก็ต้องมีชะตากรรมเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ตามกันไป

กิตตินันท์กล่าวทิ้งท้ายว่า นาวาตรีสุธรรมมีบทเรียนเคยสอบตกเมื่อปี 2548 มาแล้ว คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตจากการเมืองชั่วคราว เพื่อรอกลับมาลงเลือกตั้ง ส.ส.สมัยหน้า ซึ่งต่อไปหากมีการปฏิรูปการเมือง และนักการเมืองเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ก็เชื่อว่านาวาตรีสุธรรมจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่จะได้รับเลือกตั้ง กลับเข้าไปทำหน้าที่เป็น ส.ส.ในสภาอีกครั้ง.



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง