ฉากสุดท้ายฆ่า “เสี่ยเมธี” ปลดทรัพย์ กล้องวงจรปิดมัด “แคดดี้-ผัว-อา” ยกทีม

ปิดคดีได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้น สำหรับคดีที่ “เสี่ยเมธี”หรือนายเมธี หมอนทอง วัย 66 ปี เจ้าของบริษัท เอสพีพี เทอร์มินัล ทรานสปอร์ต จำกัด ธุรกิจขนส่งปุ๋ยเคมีใน จ.สมุทรสาคร ถูกยิงเสียชีวิต ก่อนปลดทรัพย์สินมีค่า พระเครื่อง และนำศพใส่รถยนต์ทิ้งลงในคลองเพื่ออำพรางคดี

เวลา 21.14 น. ของคืนวันที่ 24 ก.พ. ตำรวจ สภ.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบรถยนต์ตกลงไปในคลองชลประทาน ริมถนนสายดอนกระเพรา-กระดานป้าย หมู่ 13 ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ในสภาพมิดเกือบถึงหลังคา

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ หน่วยกู้ภัยได้ทำการกู้รถขึ้นมา พบเป็นรถเก๋งยี่ห้อฮุนได 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน ฆฉ 8190 กรุงเทพมหานคร เมื่อเปิดประตูรถพบศพนายเมธีถูกห่อด้วยผ้าห่ม 2 ผืนที่เบาะท้ายข้างหลัง นอนคู้เข่าอยู่ระหว่างเบาะหลังคนขับ สวมเสื้อยืดคอปกสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี

ตามร่างกายมีบาดแผลถูกยิงด้วยปืน 9 มม.เข้าขมับซ้าย 1 นัด และกลางท้ายทอย 1 นัด รวม 2 นัด คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3-4 ชั่วโมง

บุตรสาวของนายเมธี น.ส.สิรินธา หมอนทอง วัย 38 ปี ให้การกับเจ้าหน้าที่ระหว่างมาดูศพที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 17 อ.สองพี่น้อง ระบุว่าก่อนเกิดเหตุบิดาขับรถออกจากบ้านบอกว่าจะไปตีกอล์ฟที่ จ.นครปฐม จากนั้นไม่ได้ติดต่อกลับมา กระทั่งมาทราบว่าถูกยิง

ส่วนสาเหตุที่บิดาถูกยิงนั้นไม่ทราบ และไม่ทราบว่าบิดาไปมีเรื่องโกรธแค้นหรือมีความขัดแย้งกับใครบ้าง ขณะพบศพทรัพย์สินในตัวมีสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท พระเครื่องชุดเบญจภาคีมูลค่านับล้านบาท และเงินสดอีกหลายแสนบาทได้หายไป

ตำรวจคลี่คลายคดีโดยแบ่งชุดสืบสวนออกเป็น 3 ทีม ประกอบด้วย ชุดสืบสวน สภ.ทุ่งคอก ภ.จว.สุพรรณบุรี และตำรวจภูธร ภาค 7 โดยได้ประสานงานกับสนามกอล์ฟยูนิแลนด์ ถนนเพชรเกษม กม.60 ต.บางแขม อ.เมืองฯ จ.นครปฐม ซึ่งนายเมธีตีกอล์ฟที่นั่นเป็นประจำ เพื่อขอภาพจากกล้องวงจรปิด

ในภาพพบรถยนต์สีขาวของผู้ตาย ขับเข้ามาเวลา 13.00 น. และออกไปเวลา 18.00 น. พร้อมคนนั่งคู่เบาะข้างหน้า 1 คน วิ่งไปตามถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าไปทาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยคาดว่า น่าจะเป็นอดีตสาวแคดดี้นั่งคู่เบาะข้างหน้าคนขับ

อีกด้านหนึ่ง ชุดสืบสวน สภ.ทุ่งคอก ได้ประสานงานไปยังสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติบ้านหัวกลับ ต.บ่อสุพรรณ เพื่อดูขอกล้องวงจรปิดย้อนหลัง พบว่าพบรถยนต์คันดังกล่าววิ่งผ่านสถานีอนามัยฯ ไปมารวม 4 ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ของวันเกิดเหตุ

ขณะที่ ชุดสืบสวน ภ.จว.สุพรรณบุรี ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ บ้านดอนโพรง และจุดตรวจบ้านพระแท่นดงรัง อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี พบว่ารถยนต์คันดังกล่าววิ่งผ่านมา 1 ครั้ง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะรู้จักกับผู้ตายเป็นอย่างดี และทำกันเป็นกลุ่ม

โดยมีผู้อยู่ในข่ายต้องสงสัยเป็นแคคดี้สาวสนามกอล์ฟนามว่า “จำเนียร” วางแผนลวงทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วปลดทรัพย์หลบหนี ทิ้งศพอำพรางคดี

ชุดสืบสวนได้ออกหาข่าวจนทราบว่า ผู้ตายชอบตีกอล์ฟ จะมาตีกอล์ฟที่สนามยูนิแลนด์เป็นประจำทุกอาทิตย์ ก่อนหน้านี้ได้ก็มาตีกอล์ฟกับกลุ่มก๊วนเพื่อนนครปฐม ก่อนแยกย้ายกันในช่วงเย็น และยังสืบทราบอีกว่าผู้ตายชอบพออยู่กับ “จำเนียร” อดีตแคดดี้สาวที่สนามแห่งนี้ ชนิดที่ว่าไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ

ต่อมา “จำเนียร” ไปได้สามีและตั้งท้อง จึงต้องลาออกจากงานเพื่อกลับไปคลอดลูกที่บ้าน เป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ แต่ก็ยังมีการติดต่อกันอย่างลับๆ

ชุดสืบสวนจึงให้ตามสืบและดูจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ตามถนน พบว่าหลังจากที่ผู้ตายเลิกตีกอล์ฟในตอนเย็นแล้วได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวมุ่งหน้าไปยังเส้นทางบ้านของ “จำเนียร” ละแวกสนามกอล์ฟ แล้วหายไป

ขณะเดียวกันได้ประสานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อตรวจสอบสัญญาณการใช้โทรศัพท์ของนายเมธี พบว่ามีการโทรออกไปยังหมายเลขโทรศัพท์แห่งหนึ่ง ซึ่งพบว่าเป็นของนายสอน บุตรน้ำเพชร วัย 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 234 หมู่ 16 ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง ใกล้กับจุดที่ทิ้งศพลงคลอง

ตำรวจจึงเข้าจู่โจมไปยังบ้านหลังดังกล่าว พบนายสอนอยู่ในบ้าน เมื่อตรวจค้นพบอาวุธปืนยาว ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก พร้อมลูกกระสุนปืนจำนวนมาก แรกๆ ซัดทอดว่าปืนเป็นของหลานชาย อ้างว่าขอยืมปืนมายิงนก แต่ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ จึงคาดคั้นความจริง

นายสอนจึงยอมปริปากรับสารภาพว่า เป็นคนลงมือฆ่า “เสี่ยเมธี”

โดยร่วมมือกับ นายเกรียงศักดิ์ ราชจำนงค์ วัย 38 ปี หลานชาย และภรรยาที่ชื่อ “จำเนียร” นำผู้ตายออกมจากสนามกอล์ฟไปยังบ้านพัก โดยตนลงมือยิงนายเมธี 2 นัดถึงแก่ความตาย ก่อนปลดทรัพย์สินมีค่า ช่วยกันนำศพใส่รถยนต์เข็นทิ้งคลองชลประทานเพื่ออำพรางคดี

อีกด้านหนึ่ง ตำรวจได้เฝ้าดูพฤติกรรมของแคดดี้สาว ที่ไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพ “เสี่ยเมธี” ที่วัดแห่งหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สามีได้หายตัวไป ประกอบกับภาพจากกล้องวงจรปิดจากแยกสัญญาณไฟถนนมาลัยแมน ต.ลำพยา อ.เมืองฯ จ.นครปฐม จับภาพรถยนต์มุ่งหน้าไป จ.สุพรรณบุรี

เมื่อมั่นใจว่าสองสามีภรรยามีส่วนรู้เห็นการเสียชีวิตของเสี่ยเมธี ชุดสืบสวนได้ไปยังบ้านเลขที่ 22 หมู่ 6 ต.วังเย็น อ.เมืองฯ จ.นครปฐม ซึ่งอยู่ละแวกใกล้เคียงกับสนามกอล์ฟ เพื่อเชิญตัว น.ส.ปรียนิตย์ เลิศคูณรัตน์ วัย 39 ปี ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อจากเดิม “จำเนียร” มาสอบสวน

เมื่อนำโทรศัพท์มือถือมาตรวจสอบ พบว่ามีเบอร์ที่ติดต่อกับ “เสี่ยเมธี” ผู้ตายในช่วงเวลาที่หายตัวไป น.ส.ปรียนิตย์ จึงรับสารภาพหมดเปลือก

“ปรียนิตย์” หรือชื่อเดิมว่า “จำเนียร” เผยถึงที่มาที่ไปก่อนลงมือสังหารเสี่ยบริษัทขนส่งว่า เดิมเคยทำงานเป็นแคดดี้อยู่ที่สนามกอล์ฟยูนิแลนด์มา 5 ปี รู้จักสนิทสนมกับ “เสี่ยเมธี” เนื่องจากเคยรับใช้และคอยให้บริการถือถุงกอล์ฟให้ทุกครั้ง เมื่อคุยกันถูกคอ จึงให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกันเป็นประจำ

เมื่อคุ้นเคยสนิทสนม กระทั่งได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ซึ่งเสี่ยเมธีคอยดูแลให้เงินมาใช้จ่ายเป็นประจำ ทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ต่อมาได้มาคบหากับนายเกรียงศักดิ์ ซึ่งเป็นสามี และเกิดตั้งครรภ์จึงลาออกจากงานมา 1 ปี กระทั่งคลอดบุตรออกมา ซึ่งปัจจุบันมีอายุได้เพียง 6 เดือน

เมื่อตนและสามีตกงาน ไม่มีเงินใช้และดูแลเลี้ยงลูก เห็นว่าผู้ตายมีฐานะร่ำรวย ชอบใส่ของราคาแพง พกเงินทีละมากๆ มาตีกอล์ฟ จึงวางแผนโดยสัปดาห์ที่แล้วโทรศัพท์ให้มาที่บ้านเพื่อให้สามีดูพฤติกรรม วางแผนเป็นขั้นตอนร่วมกับนายสอน ผู้เป็นอาซึ่งกำลังต้องการเงินเอาไปปลูกบ้านพอดี

วันเกิดเหตุประมาณ 6 โมงเย็น ตนได้โทรศัพท์ลวงให้เสี่ยเมธีมาหาที่บ้าน ออกอุบายว่ามีเรื่องสำคัญให้ช่วยเหลือ เมื่อถึงบ้านตนให้นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ห้องรับแขก โดยบอกว่าจะทำอาหารให้ทาน ระหว่างนั่งรอ เสี่ยเมธีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นจนเพลิน โดยไม่รู้ว่าสามีและอามือสังหารซ่อนอยู่

นายเกรียงศักดิ์ผู้เป็นสามี ให้นายสอนผู้เป็นอาใช้ปืนเปิดประตูห้องนอน ลั่นไกสังหารยิงเข้าไปที่ศรีษะจนล้มลง จากนั้นทั้งคู่ช่วยกันใช้ผ้านวมห่อและคลุมหัว ลากศพไปไว้ที่ห้องนอน ปลดทรัพย์สิน สร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท พระเลี่ยมทอง 5 องค์ แหวนทอง 2 วง และเงินสด 45,000 บาทเก็บไว้

เมื่อปลดทรัพย์สินเสร็จ ทั้งสองได้ช่วยกันหามศพที่ยัดในผ้านวมไว้ที่เบาะหลังคนขับ ก่อนออกจากบ้านเพื่อทิ้งศพและรถยนต์ โดยนายเกรียงศักดิ์ขับรถของผู้ตาย ส่วนนายสอน ผู้เป็นอาขับรถรถยนต์กระบะแคปสีฟ้า ยี่ห้อมิตซูบิชิไทรทัน หมายเลขทะเบียน บล 9908 นครปฐมตามมาเพื่อรับกลับบ้าน

ขณะที่ น.ส.ปรียนิตย์ ได้ทำความสะอาดบ้านพร้อมเช็ดคราบเลือดจนหมด กระทั่งในตอนสาย นายเกรียงศักดิ์ ได้นำทรัพย์สินทั้งหมดขึ้นรถขับไปที่บ้านแม่ที่ ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี โดยบอกว่าจะนำไปฝังไว้ก่อน รอให้เรื่องเงียบก็จะนำออกมาแบ่งกัน

อีกด้านหนึ่ง ตำรวจนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 21 หมู่ 16 ต.บ่อสุพรรณ ซึ่งเป็นบ้านของนายเกรียงศักดิ์ พบทรัพย์สินของผู้ตายประกอบด้วยใส่ในกระป๋องแป้ง 2 กระป๋องฝังดินอยู่ในดงกล้วยหลังบ้าน นอกจากนี้ ยังพบกระสุนปืน .22 อีก 40 นัด ตำรวจจึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนนายเกรียงศักดิ์ แม้จะหนีรอดไปได้ก่อนที่ตำรวจจะเดินมาถึง แต่ปรากฏว่าชุดสืบสวนกระจายกำลังออกติดตาม กระทั่งจับกุมได้ในเวลาต่อมา โดยยอมรับสารภาพว่าที่ทำไปเพราะตนและภรรยามีหนี้สินการพนันติดตัว ที่ทำไปก็เพื่อต้องการหาเงินไปใช้หนี้ ส่วนที่เหลือก็จะนำไปแบ่งเท่าๆ กัน

ตำรวจได้นำผู้ต้องหาทั้ง 3 คนทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จุดแรกที่บ้านของ น.ส.ปรียนิตย์ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่สนามกอล์ฟ แคดดี้และชาวบ้านต่างมุงดูและส่งเสียงสาปแช่ง พร้อมขอร้องสื่อให้ช่วยแก้ข่าวที่ว่า น.ส.ปรียนิตย์ ยังเป็นแคดดี้ทั้งที่ลาออกไปนานแล้ว ทำให้สนามกอล์ฟเสื่อมเสีย

ต่อด้วยจุดที่สอง บริเวณริมคลองส่งน้ำดอนกระเพรา-กระดานป้าย หมู่ 13 ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นจุดทิ้งศพ “เสี่ยเมธี” เพื่ออำพรางคดี ซึ่งนายสอนให้การว่า ที่ทิ้งศพตรงจุดนี้เพราะเป็นเส้นทางผ่านกลับบ้าน และเห็นว่าคลองนั้นมีน้ำมาก จึงตัดสินใจปล่อยรถลงคลองดังกล่าว

ตำรวจได้ตั้งข้อหาสถานหนักแก่ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้แก่ ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิด อย่างอื่น ซ่อนเร้น ย้ายทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย

การปิดฉากคดีสังหารเสี่ยเจ้าของธุรกิจขนส่งในมหาชัยครั้งนี้ ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว นอกเหนือจากความสามารถชุดสืบสวนของตำรวจทั้ง 3 ชุดแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สามารถแกะรอยคดีได้ คือ กล้องวงจรปิดตามรายทาง และข้อมูลการใช้โทรศัพท์ที่มัดตัวคนร้ายและนางนกต่อได้ยกกลุ่ม

ขณะเดียวกัน คดีที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับบรรดาเศรษฐีต่างๆ ที่มักจะพกเงินสดติดตัว และพกทรัพย์สินจำพวกพระเครื่อง และเครื่องประดับมีค่าไปด้วย กลายเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้คนที่กำลังร้อนเงิน คิดสั้นด้วยวิธีการอำมหิตให้เหยื่อสิ้นใจทั้งเลือดเนื้อและชีวิต

ท้ายที่สุด จุดจบคือถูกดำเนินคดีสถานหนัก ชนิดที่ว่าได้ทรัพย์สินไม่คุ้มกับอิสรภาพที่สูญเสียไปนั่นเอง.

ภาพ : ตำรวจภูธรภาค 7



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง