ปิดคดีฆ่า “ทองนาค” แกนนำต้านถ่านหิน ความยุติธรรมแค่ก้าวแรก

1121-1

คดีการเสียชีวิตของนายทองนาค เสวกจินดา แกนนำต่อต้านถ่านหิน ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ผ่านไปกว่า 2 ปี 8 เดือน ในที่สุดศาลจังหวัดสมุทรสาครได้มีคำพิพากษาประหารชีวิต และจำคุกตลอดชีวิต เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา

ประกอบด้วย นายนิพนธ์ หรือหมู ยันตะละพะ อายุ 33 ปี, นายสุชชเดช หรืออี๊ด ทับไกร อายุ 27 ปี, นายจักรพงษ์ หรือพงษ์ ขวัญพันธุ์งาม อายุ 20 ปี, นายโยธิน หรือบอย เทพเรียน อายุ 25 ปี และนายไพโรจน์ หรืออุ๋ย แสงสว่าง อายุ 28 ปี ทั้งหมดเป็นทีมสังหารนายทองนาค

ศาลจังหวัดสมุทรสาครให้จำเลยทั้ง 5 จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีการลดโทษแต่อย่างใดทั้งสิ้น

แต่ตัวการสำคัญของคดีนี้ คือ “ผู้ใหญ่เล็ก” นายสิทธิโชค หรือเล็ก นอบน้อม อายุ 35 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.สวนส้ม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ “เสี่ยเบื๊อก” นายธนยศ หรือเบื๊อก วงศ์พิมพ์ อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุกสิบล้อขนถ่านหิน

จำเลยทั้งสอง ศาลตัดสินประหารชีวิต เนื่องจากร่วมกันจ้างวานใช้ให้ทีมสังหารนายทองนาค แต่เนื่องจากนายสิทธิโชค ให้การเป็นประโยชน์ในชั้นศาล จึงได้รับการลดโทษลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต คงเหลือแต่ “เสี่ยเบื๊อก” ที่ต้องโทษประหารชีวิต ไม่มีการลดโทษแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม หากภายใน 30 วัน จำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 แล้ว จะต้องกินเวลาในการพิจารณาอีกประมาณ 1-2 ปี จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายส่วน เช่นจำเลยได้รับการประกันตัวหรือไม่ หรือคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมากน้อยเพียงใด

เท่ากับว่าในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมยังคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าคดีจะถึงที่สุดเมื่อไหร่ แม้จนถึงวันนี้จำเลยทุกคนจะไม่ได้รับการประกันตัวก็ตาม

1121-2

ย้อนกลับไปถึงคดีสะเทือนขวัญ นายทองนาคถูกคนร้ายสองคนขับขี่รถจักรยานยนต์ จ่อยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวและของชำ ช่วงกลางวันแสกๆ ห้วงเวลาที่ชาวสมุทรสาครต่อต้านถ่านหิน ชุมนุมปิดถนนพระราม 2 แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

คดีนี้ตกอยู่ในความสนใจของสาธารณชนและสื่อมวลชน เพราะเกิดขึ้นกับแกนนำต่อต้านถ่านหินคนสำคัญ นำไปสู่การคลี่คลายคดีแบบกัดไม่ปล่อย ถึงขนาดผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงมาคลี่คลายคดีด้วยตัวเอง

ในที่สุดเวลาผ่านไปเพียง 4 วัน ตำรวจสามารถจับกุมทีมสังหารได้ชุดแรก 3 คน คือ นายสุชชเดช ผู้รับงานและจัดหาอาวุธปืน ตามมาด้วยนายจักรพงศ์ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ให้มือปืน และนายนิพนธ์ คนขับรถกระบะคอยคุ้มกัน รวมทั้งส่งมือปืนมาก่อเหตุและพาหลบหนี

ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากผู้ประกอบการขนส่งถ่านหินรายหนึ่งในพื้นที่ให้สังหารนายทองนาค โดยได้ค่าจ้าง 1.5 แสนบาท สาเหตุเนื่องจากนายทองนาคได้นำมวลชนมาขัดขวางการขนส่งถ่านหินในพื้นที่จนเสียผลประโยชน์

ต่อมานายโยธิน ซึ่งเป็นมือปืนที่ใช้อาวุธปืน จุด 40 ลงมือสังหารนายทองนาค เข้ามอบตัวต่อตำรวจชุดคลี่คลายคดี พร้อมด้วยนายสิทธิโชค หรือผู้ใหญ่เล็ก ให้การสารภาพว่า ได้รับการติดต่อจากผู้จ้างวานในราคา 3 แสนบาท ในการจัดหาทีมสังหาร

จากนั้นศาลได้อนุมัติหมายจับ นายธนยศ ซึ่งเป็นผู้จ้างวาน และนายไพโรจน์ คนขับรถเทลเลอร์ปิดท้ายขณะคนร้ายหลบหนี ซึ่งต่อมานายธนยศได้เข้ามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เบื้องต้นปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้จ้างวานฆ่านายทองนาค ก่อนที่นายไพโรจน์จะมอบตัวคนสุดท้าย

อัยการจังหวัดสมุทรสาครสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 7 คนเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2554 ขณะที่นางจอมขวัญ เสวกจินดา ภรรยาได้ร่วมกับนางสาลี่ เสวกจินดา มารดานายทองนาค ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งแก่ผู้ต้องหาทั้ง 7 รายจำนวน 5 ล้านบาทควบคู่ไปด้วย

การไต่สวนคดีนัดแรกยังไม่ทันจะเริ่มต้นขึ้น ปรากฎว่าได้เกิดคดีอุกอาจกับหนึ่งในผู้ต้องหา เมื่อนายสุชชเดชถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่หน้าธนาคารทิสโก้ สาขาสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2555 หลังเดินทางกลับจากศาลจังหวัดสมุทรสาครเพื่อแวะทำธุรกรรมทางการเงิน

กรณีการเสียชีวิตของนายสุชชเดชนั้นสันนิษฐานไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเป็นการฆ่าปิดปากเพราะเป็นคนรับงานและจัดหาอาวุธปืน บ่างก็ว่าพัวพันกับแก๊งค้ายาเสพติดในเรือนจำสมุทรสาคร แต่ก็ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจต่อนางจอมขวัญ ว่าจะมีผลต่อคดีหรือไม่

การไต่สวนคดีดำเนินไปกว่า 2 ปี ในที่สุดศาลจังหวัดสมุทรสาครก็ได้มีการตัดสินคดีดังกล่าว โดยนางจอมขวัญได้ชื่นชมอัยการเจ้าของเรื่องผู้ส่งฟ้องคดีนี้ และตนพอใจกับผลคำตัดสินของศาลที่ออกมา ขอให้เป็นไปตามกรรม ซึ่งตนไม่ติดใจเอาความใดๆ อีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของนายทองนาค ส่งผลดีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของจังหวัดสมุทรสาครอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะนอกจากศาลปกครองจะระงับการขนถ่านถ่านหินทางเรือแล้ว ทางบกนั้นการขนส่งและการเก็บกองก็ถูกกำหนดมาตรฐานอย่างเข้มงวด

กระทั่งในปัจจุบันผู้ประกอบการถ่านหินเหลือเพียงแค่ 2 รายใหญ่ๆ ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ทั้งสองแห่งก็ไม่ได้ดำเนิ้นการเต็มรูปแบบ เนื่องจากไม่สามารถลำเลียงถ่านหินทางเรือได้ จากโรงคัดแยกและจัดเก็บถ่านหินกลายเป็นเพียงคลังสินค้าเท่านั้น

แม้คำกล่าวว่าที่ว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม” หลายคนอาจคงคิดในยามที่ต้องรอคอยกระบวนการยุติธรรมพิจารณา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้รู้ชะตากรรมถึงการขาดอิสระภาพจนกว่าจะได้รับการอภัยโทษ ส่วนระดับคนจ้างวานก็ถูกประหารชีวิต

คุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน อาจจะเป็นจริงกับ “เสี่ยเบื๊อก” เจ้าของกิจการรถสิบล้อบรรทุกถ่านหินที่วันนี้ชะตาของเขาใกล้จะขาดลง ขณะที่ฝ่ายลงมือสังหารก็ได้รับโทษจำคุกตลิอดชีวิต ถือเป็นการลงโทษที่พอเหมาะ เมื่อเทียบกับหนึ่งชีวิตที่สูญเสียไปโดยไม่มีวันย้อนกลับมา

• กิตตินันท์ นาคทอง •



แสดงความคิดเห็น


เงื่อนไขในการแสดงความคิดเห็น
• กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำที่สุภาพ โปรดงดเว้นการใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
• การลบความคิดเห็น ที่ไม่เหมาะสม สามารถกระทำได้ทันที โดยไม่ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ทุกความคิดเห็นไม่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการเว็บไซต์ และไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้

เรื่องก่อนหน้า-ย้อนหลัง